(เรื่องสั้น) อนาคต...กับยุคอุตส่าห์หากรรม...


ผ่านไปหนึ่งเดือนพระอาทิตย์และดวงจันทร์ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ เฉกเช่นเดียวกันกับเขาที่มีความซื่อสัตย์กับความคิดในเรื่อง 'เหลือเชื่อ' ตลอดสี่สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ชายหนุ่มได้มาใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้...

          เขาต้องปรับตัวและเรียนรู้วิถีของการดำเนินชีวิตใหม่เกือบทั้งหมด! นอกจากสาวน้อยแล้วอีกหนึ่งผู้ช่วยที่สำคัญสำหรับเขาก็คือเจ้า ‘ชิป’ นั่นเอง ชายหนุ่มเริ่มคุ้นเคยกับการใช้งานของมันบ้างแล้ว แม้ว่าในความรู้สึกลึก ๆ แล้วเขายังคงมองว่าเจ้าชิปนั่นมันเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายของเขาอยู่ก็ตามที และนี่ถ้าหากว่าอยู่ที่ประเทศไทยในตอนนี้ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นผู้วิเศษอย่างแน่นอน! เหมือนกับตอนแรกที่เขาเคยคิดว่าสาวน้อยแสนสวยเป็นพวกนักมายากลหรือแม่มด

              ‘ใช่! หากเธอเป็นแม่มดเราก็คงไม่ต่างอะไรไปจากพ่อมดนั่นเอง!’ เขาคิด สาวน้อยได้อธิบายคุณสมบัติของมันให้เขาฟังหลังจากกลับจากเดินเที่ยวที่สาธารณะ

              “ชิปรุ่นใหม่ที่นายใช้อยู่นี้ ถือได้ว่าเป็นรุ่นล่าสุดของนวัตกรรมอันเกิดจาก ‘ทฤษฎี (ชายขอบ) แห่งสรรพสิ่งของการรวมแรงทั้งสี่’ ที่มีคุณสมบัติพิเศษสำคัญอันแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ อยู่สองประการ” เธอเริ่มต้นอธิบายถึงเจ้าสิ่งที่ชายหนุ่มคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายสำหรับเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่ชายหนุ่มตั้งใจและสนใจฟังอย่างใคร่รู้

               “ประการแรก : เจ้าชิปนี่มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนสสารให้อยู่ในสถานะพลังงานและเปลี่ยนจากพลังงานให้อยู่ในรูปของสสารกลับไปกลับมาได้ตามใจต้องการโดยการใช้เพียงแค่ระบบสัมผัสจากปลายนิ้ว!” เธอหยุดเว้นระยะในขณะที่เขาพยักหน้าตามและทำท่าครุ่นคิด...

               “เหมือนอย่างที่เธอเนรมิต เอ้ย! ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า เธอสามารถทำให้เจ้านาฬิกาที่ไม่มีให้กลับกลายเป็นมีขึ้นมาได้เหมือนวันนั้นใช่ไหม?” เขาพูดด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่เขากับเธอไปเดินเที่ยวสวนสาธารณะด้วยกัน

                เธอพยักหน้า “นาฬิกาหรือสสารอื่น ๆ อย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ เตียง เฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้อื่น ๆ พวกนั้น มันมีของมันอยู่แล้วในที่นั้น ๆ เพียงแต่ถูกฉันซ่อนเอาไว้ในสถานะของพลังงาน จึงทำให้นายหรือคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีเจ้าชิปรุ่นใหม่นี้มองไม่เห็น!”

                “เธอหมายความว่า...” ชายหนุ่มหยุดนึกนิดนึงก่อนพูดต่อ

                “ห้องนอนของเธอที่ฉันเห็นว่ามันมีสภาพเป็นห้องโล่ง...ว่างเปล่า แต่แท้ที่จริงมันมีเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ อยู่แล้ว แต่ฉันไม่สามารถมองเห็นได้อย่างงั้น ใช่ไหม”

                “ใช่!” เธอเน้นเสียงจริงจัง

                 “มันถูกซ่อนเอาไว้ในสถานะพลังงาน! ก็เท่านั้นเอง” เธอยักไหล่เล็กน้อยแต่พองาม

                 “แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายหรือหายไปไหน เป็นแต่เพียงแค่การเปลี่ยนสถานะระหว่างสสารกับพลังงานเท่านั้น! นายอาจจะสงสัยว่าทำไม?” เธอหยุดเว้นระยะอีกครั้ง

               “ก็อย่างที่ฉันเคยบอกกับนายเมื่อตอนอยู่สวนสาธารณะที่ว่า พื้นที่...เป็นสิ่งสำคัญที่ถูกบีบคั้นโดยธรรมชาติ ทำให้เราไม่สามารถเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในรูปของสสารได้ตามความต้องการและตลอดเวลา ดังนั้น เวลาไหน...สิ่งใด...ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ก็จะถูกเก็บเอาไว้ในสถานะพลังงาน เมื่อจำเป็นต้องใช้งานขึ้นมาก็เปลี่ยนสถานะกลับมาอยู่ในรูปของสสารโดยการใช้นิ้วสัมผัสเท่านั้นเอง”

             “แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไอ้เจ้าพลังงาน...มันซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง? จะไม่ยุ่งยากหรือสับสนไปหมดเหรอ” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย

            เธอยักไหล่เล็กน้อย “นั่นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญประการที่สองของเจ้าชิปอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุดนี้” เธอเห็นสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มยังงงและสงสัย จึงอธิบายต่อไปในทันที

            “คุณสมบัติสำคัญประการที่สองของมัน ก็คือ เจ้าชิปนี่มีระบบควบคุมประสาทสายตาทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของสสารหรือว่าพลังงาน! ก็อย่างเช่น ที่ผนังห้องนอนดังกล่าวมีนาฬิกาอยู่แล้วแต่ฉันเปลี่ยนให้มันอยู่ในสถานะพลังงาน ซึ่งหากคนทั่วไปที่ไม่มีชิปรุ่นใหม่นี้ เอ่อ...เหมือนกับนายในวันนั้น ก็จะไม่สามารถมองเห็น (พลังงานนั้น) ได้ ในขณะที่ฉันที่มีชิปรุ่นใหม่นี้จึงสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน!” คำพูดของเธอนำความคิดของเขาเข้าไปสู่ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น

            ‘ใช่! เรามองไม่เห็นอะไรเลย...มันว่างเปล่า...จนนึกว่าเธอเป็นนักมายากลหรือพวกแม่มด! นั่นเอง’ ชายหนุ่มคิด

           “อย่างที่ฉันบอก...หากต้องการทำให้พลังงานเหล่านั้นเปลี่ยนสถานะมาเป็นสสารก็เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสยังกลุ่มพลังงานเหล่านั้นที่มันซ่อนอยู่ เท่านั้นพลังงานดังกล่าวก็จะแปรสภาพกลับมาเป็นสสารในทันที...เหมือนกรณีของนาฬิกาในวันนั้น!” ความสับสนและความสงสัยในฐานะนักมายากลหรือแม่มดของเธอถูกคลี่คลายไปได้ในระดับหนึ่งจากข้อมูลที่น่าทึ่งและเหลือเชื่อ! ในความมหัศจรรย์ของเจ้าชิปอัจฉริยะนั่น

          “ถ้างั้น...ตอนนี้ฉันก็สามารถทำเหมือนเธอได้ทุกอย่างงั้นซิ” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้มากกว่าจะดีใจ

            เธอพยักหน้า “ใช่...แต่ไม่ทุกอย่าง!” ความงุนงงและความสงสัยเริ่มกลับเข้ามาประจำการและทำงานอย่างขยันขันแข็งในหัวสมองของเขาอีกครั้ง

              “หมายความว่าไง?” เขาถามออกไป

              “ถึงแม้เจ้าชิปรุ่นใหม่ทั้งหมดนี้จะมีคุณสมบัติมหัศจรรย์สองประการเหมือนกัน แต่ก็ไม่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ถูกบรรจุไว้ภายในชิปนั้น ๆ ของแต่ละตัว”

             “ฉันยังไม่กระจ่าง” เขาสารภาพตามตรง ซึ่งมันเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความมึนงงที่ยังคงเคลือบอยู่บนใบหน้าของเขา

             “สสารหรือพลังงานทุกอย่าง!” เธอย้ำ

             “จะมีข้อมูลเป็นเอกลักษณ์และเอกเทศของมันเองหรือที่เรียกว่าบาร์โค๊ด ดังนั้นบาร์โค๊ดไหนที่มีอยู่ในชิป ผู้ใช้ชิปนั้นก็จะสามารถมองเห็นและแปรสภาพจากสสารให้เป็นพลังงานหรือจากพลังงานให้เป็นสสารได้ด้วยระบบสัมผัสจากปลายนิ้ว แต่ถ้าหากตรงกันข้าม ในชิปนั้นไม่มีข้อมูลหรือบาร์โค๊ดดังกล่าว ผู้ใช้ก็ไม่สามารถมองเห็นหรือแปรสภาพดังกล่าวได้” เธออธิบายก่อนหยุดเว้นระยะ

            “ในชิปที่นายใช้อยู่นั้นจะมีข้อมูลหรือบาร์โค๊ดของเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้หลาย ๆ อย่างภายในบ้านนี้ ที่นายสามารถแปรสภาพของมันได้ตามต้องการ แต่ก็ไม่ทั้งหมด! อย่างเช่น...ของใช้บางอย่างที่เป็นส่วนตัวของฉัน ของพ่อ หรือของคุณปู่...ซึ่งนายก็ไม่สามารถมองเห็นหรือแปรสภาพมันได้ เพราะไม่มีข้อมูล ยกเว้น...”

            “จะบรรจุข้อมูลของมันลงในชิปของฉันก่อน” เขาพูดต่อให้เมื่อความกระจ่างเริ่มกลับมาทำงาน

             “แต่ต้องได้รับอนุญาต!...เท่านั้น!” เธอย้ำก่อนที่จะพูดอธิบาย

             “เพราะหากไม่ได้รับอนุญาตก็จะถือได้ว่าเป็นการขโมยข้อมูลหรือละเมิดสิทธิ์! ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงชีวิต!” เธอพูดเสียงเข้ม

           “ที่นี่มีระบบตรวจสอบที่แม่นยำ รอบคอบและซับซ้อนในตัวของมันเองที่คอยควบคุมในเรื่องดังกล่าว ชิปทุกชนิดทุกประเภทไม่สามารถรอดพ้นระบบการตรวจสอบอันเข้มงวดดังกล่าวไปได้!”

              เขาพยักหน้าแม้จะไม่เข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด ‘ใช่...มันคงซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ แต่ที่สำคัญก็คือเขาไม่มีความต้องการหรือความคิดที่จะละเมิดสิทธิ์นั้นอยู่แล้ว...ไม่มีทาง!?’ เขาคิด

               “แต่ถ้าหากว่าเป็นทรัพย์สินของสาธารณะ...” เธออธิบายต่อ

               “ผู้ใช้ชิปนี้ก็จะสามารถมองเห็นสสารที่อยู่ในสถานะพลังงานได้แต่ก็ไม่ทั้งหมด อย่างที่บอกก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลของชิปแต่ละตัวเป็นสำคัญ และถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลดังกล่าวก็ทำได้เพียงแค่มองเห็นอย่างเดียว! ไม่สามารถแปรสภาพพลังงานหรือสสารดังกล่าวให้กลับไปกลับมาได้ เพราะระบบแปลงค่าหรือแปรสภาพของทรัพย์สินสาธารณะจะถูกควบคุมโดยส่วนกลางของราชอาณาจักรเท่านั้น!” ชายหฯมคิดถึง...

                 “เหมือนหลอดไฟที่ฉันคิดว่ามันลอยอยู่ในอากาศได้เอง...แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ใช่ไหม?” เขาถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น

                 เธอพยักหน้า “เสาและสายไฟจะถูกเก็บไว้ในสถานะของพลังงานตลอดเวลา ในขณะที่หลอดไฟจะถูกเก็บไว้ในสถานะพลังงานในตอนกลางวัน แต่พอช่วงกลางคืนก็จะเปลี่ยนสถานะไปเป็นสสาร (รูป) ที่ให้แสงสว่างอย่างที่นายเห็นนั่นยังไงหละ” ชายหนุ่มพยักหน้าตามในขณะที่ฟังการอธิบายของเธอ

                   “เอ้อ...” ชายหนุ่มพูดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

                   “ขอถามหน่อย ตอนที่เธอขับยาน...ฉันเห็นเธอหยุดอยู่กับที่ นั่นแสดงว่า มันมีสัญญาณไฟที่ใช้หยุดหรือปล่อยยานบนอากาศด้วยใช่ไหม?...เพราะฉันมองไม่เห็นเลย”  

                  “ใช่ นายไม่สามารถมองเห็นได้ จนกว่าว่านายจะมีใบอนุญาตในการขับขี่มันซะก่อน” เธอหยุดเว้นระยะและอธิบายต่อเมื่อเห็นเขามีท่าทีสนใจ

                   “หากว่านายสามารถสอบใบขับขี่ยานได้ ข้อมูลสัญญาณหรือช่องทางการจราจรทางอากาศก็จะได้รับอนุญาตให้บรรจุอยู่ในชิปของนาย นายถึงจะสามารถมองเห็นสัญญาณและช่องทางดังกล่าวนั้นได้” เธอให้ความกระจ่าง

                  “งั้นก็แสดงว่า...หากไม่มีใบขับขี่ก็ไม่สามารถขับยานได้งั้นเหรอ” เขาถามต่อ เพราะคิดว่า...‘เขาไม่มีใบขับขี่แต่ก็ยังสามารถขับรถยนต์ไปไหนต่อไหนได้เลยขอแค่...อย่าให้ตำรวจจับได้เท่านั้นเป็นพอ’

                  เธอพยักหน้า “นอกจากจะผิดกฎจราจรทางอากาศแล้ว ก็จะมีอุบัติเหตุรออยู่ข้างหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย!” เธออธิบายก่อนที่จะตัดบท

                  “สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ มันมีมากมายเอาไว้นายก็จะค่อย ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ไปเอง วันนี้เอาเฉพาะหลัก ๆ และสิ่งจำเป็นที่นายต้องรู้ก่อน…” เธอบอกกับเขาในที่สุด หลังจากที่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเจ้าชิปที่ว่านั่นมาพอสมควร  

                 “ขอบคุณมากนะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นจากใจจริง เธอพยักหน้าและยิ้มให้บาง ๆ...

                 “อีก ๑๕ นาทีเจอกันที่โต๊ะอาหาร” เธอเตือนเขาก่อนเดินจากไป

                 ‘นี่เราคงต้องเริ่มต้นเรียนรู้การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิมเกือบทั้งหมดจน...’

              “เฮ้อ!” เขาถอนหายใจเบา ๆ

               “อย่าพึ่งคิดอะไรไปไกลมากกว่านี้เลยว๊า...” เขาบอกตัวเองในที่สุด

 *********************************************************

 หลังจากรับประทานอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารค่ำมื้อแรกในรอบหนึ่งเดือนที่มีสมาชิกปัจฉิมวัยใจดีร่วมโต๊ะอยู่ด้วย! บรรยากาศก็เป็นการพูดคุยเรื่องปกติทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการสนทนาระหว่างคุณปู่กับคุณหลานซะมากกว่าโดยมีชายหนุ่มร่วมด้วยในฐานะผู้ฟังที่ดี

            สนทนากันไม่นานนักก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน... แต่ชายหนุ่มมีบางสิ่งบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในหัวสมองของเขาที่เฝ้ารอคอยความกระจ่าง...หลังจากที่ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดีอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจ...

            “คุณปู่ครับ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือเปล่า...” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ลังเลหลังจากที่ท่านอนุญาตให้เขาเข้าไปในห้องหนังสือได้

            “คือ...ผมมีความสงสัยในหลาย ๆ เรื่องที่อยากจะถาม มันรู้สึกอึดอัดมากหากไม่ได้คำตอบนะครับ” เขาตัดสินใจพูดขึ้นในที่สุด

            “ได้ซิ” คุณปู่วางหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงบนโต๊ะ “หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องของการกลับบ้านนะ” ท่านถามต่อยิ้ม ๆ

          “อ๋อ...ไม่ใช่ครับ แต่ถ้าหากว่าคุณปู่จะกรุณาบอก ผมก็เต็มใจที่จะฟังครับ” เขาหยุดเว้นระยะ

           “แต่ว่าต้องไม่ใช่คำตอบแบบเดิมเหมือนหลานสาวปู่ที่เคยบอกนะครับ” เขาพูดยิ้ม ๆ โดยที่ในความรู้สึกลึก ๆ ตอนนี้นั้น มันเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าไหร่สำหรับเขาเพราะรู้ดีว่าถึงยังไงเสีย ท่านก็คงยังไม่ยอมบอกในตอนนี้อยู่ดี

             “มีอะไรจะถามปู่ยังงั้นเหรอ” ท่านถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

              “ผมอยากรู้เกี่ยวกับเทศกาล ‘กุทรุสกะ’ ครับ” ชายหนุ่มบอกออกไปตามตรง

             ปู่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “สาวน้อย...ได้เล่าเทศกาลกุทรุสกะให้ฟังบ้างหรือยังหละ”

               “เล่านิดหน่อยครับ...เอ่อ...คือตอนนั้นผมไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ครับ”

                “แล้วตอนนี้หละ” ท่านถามยิ้ม ๆ

                “สนใจครับ! และพร้อมแล้วครับ!” เขาตอบทันทีและหนักแน่น

                “เทศกาลกุทรุสกะ ก็คือ เป็นงานฉลองให้กับกุทรุสกะที่ส่งผ่านความเชื่อและความศรัทธาจากรุ่นสู่รุ่นต่อ ๆ กันมาว่าเป็นพืชวิเศษที่ถูกเนรมิตขึ้นจากมือที่มองไม่เห็น ใครได้กินก็จะมีอายุยืนยาวมีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วย” ท่านเริ่มต้นอธิบาย

                “ข้าวหญ้ากับแก้นี่นะครับ!” เขาโพล่งขึ้นด้วยความลังเลและสงสัยในสรรพคุณของมันทันทีที่ท่านพูดจบ

                “อืม...มันอาจจะเป็นอาหารชั้นเลวในยุคของหลานชายแต่มันคืออาหารชั้นเลิศในยุคของเรา กุทรุสกะเป็นพืชกินได้ชนิดเดียวที่มีหลงเหลืออยู่!” ท่านย้ำประโยคสุดท้าย

               “หมายความว่า...”

               ปู่พยักหน้า “พืชอื่น ๆ ที่กินได้ไม่มีหลงเหลือในยุคนี้แล้วนอกเสียจากว่าจะถูกบรรจุให้อยู่ในรูปของแคปซูล แม้แต่ต้นไม้ต่าง ๆ ที่เป็นธรรมชาติก็ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้วสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ของยุคเรา หรือแม้กระทั่งสัตว์!”

              “ยังไงครับปู่” เขาถามขึ้นเพื่อขอความกระจ่าง

             “สัตว์ต่าง ๆ ในยุคนี้ก็ไม่มีเหลือ ไม่ว่าจะเป็นหมู หมา กา ไก่ เสือ สิงโต กวาง ช้าง ม้า ฯลฯ...ทั้งหมด” ปู่หยุดเว้นระยะ

               “สิ่งเหล่านั้นได้ถูกจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์สำหรับคนยุคนี้ว่าเคยมีอยู่เท่านั้น!” ท่านยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ

              “อะไรกันนี่!” ชายหนุ่มเองรู้สึกตกใจในข้อมูลที่ได้รับรู้

              “นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว สิ่งเหล่านี้...หลานชายจะได้รู้จักพวกมันผ่านแคปซูลที่กินเท่านั้นเอง” ท่านอธิบายต่อ

           “หมายความว่าแคปซูลหมู ไก่ กุ้ง ปลาหมึก และผักผลไม้ต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นมางั้นหรือครับ”

              ปู่พยักหน้าแทนคำตอบ “มันถูกสร้างขึ้นมาทดแทนด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นเหมือนสมการการแลกเปลี่ยนที่ไม่สมเหตุสมผลทางความคิดของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปที่เห็นแก่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วนั่นแหละคือความสมเหตุสมผลของกระบวนการทางธรรมชาติที่ได้จัดสรรให้!” ปู่ย้ำหนักแน่นในประโยคสุดท้าย

             ชายหนุ่มอึ้งไปพักนึง “หมายความว่าธรรมชาติที่นี่ไม่มีอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นและเป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเหรอครับ”

              “ยังมีกุทรุสกะไงหละ...ที่เหลือเป็นมรดกตกทอดมาถึงยุคของเรา” ท่านพูดยิ้ม ๆ อย่างเคย

               “เอ่อ...หลานสาวคุณปู่เคยบอกผมว่ากุทรุสกะจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเดือนละครั้งใช่ไหมครับ” เขาถามออกไปเมื่อนึกขึ้นได้

                “เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา...กุทรุสกะเป็นพืชกินได้ที่มีหลงเหลืออยู่เพียงสายพันธุ์เดียว! มันมีอยู่มากมายทุกพื้นที่ เทศกาลที่เฉลิมฉลองนั้นก็เป็นเพียงเทศกาลรื่นเริงของที่นี่ดี ๆ นั่นเอง รูปแบบของการฉลองก็จะเป็นเพียงพิธีการบูชาเพื่อแสดงถึงความเคารพและขอบคุณมือที่มองไม่เห็นที่ช่วยเนรมิตพืชพันธุ์นี้ขึ้นมาให้เป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมาช้านาน เป็นพิธีการตามความเชื่อและความศรัทธาที่ทำสืบต่อกันมาจนกระทั่ง...” ปู่หยุดเว้นระยะอีกครั้ง

               “จนกระทั่ง...เมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้เองกุทรุสกะที่เคยมีอยู่มากมายกลับกลายเป็นของหายาก อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่มีสาเหตุหลักมาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชั้นสูง ที่ระดมปล่อยสารพิษออกมามากมายทำให้หลาย ๆ พื้นที่จากที่เคยมีก็ไม่มีกุทรุสกะ เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นดินและอากาศที่ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษที่มีความเข้มข้นสูง!” ท่านอธิบาย

              “เหมือนที่ปู่เรียกว่าเป็นสมการการแลกเปลี่ยนระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กับภัยธรรมชาติใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถามออกไป

              “ใช่แล้วหลานชาย...ธรรมชาติโดยตัวของมันเองจะมีการจัดสมดุลของมันเสมอโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจรวมถึงจงใจที่จะไม่เข้าใจเพราะมีผลประโยชน์มากมายมหาศาลคอยปิดหูปิดตาอยู่” ปู่หยุดเว้นระยะ

               “การเกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าธรรมชาติกำลังเสียศูนย์และกำลังจะจัดสมดุลด้วยตัวของมันเองใหม่ เหมือนอย่างกรณีของกุทรุสกะที่เคยมีอยู่มากมายแล้วกลับกลายมาเป็นของหายากยังไงหละ” เขาพยักหน้าคล้อยตามและสนใจในข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้ในขณะที่ปู่อธิบายต่อ

                “เมื่อเป็นของหายาก...ความเชื่อและความศรัทธาที่ผ่านมาก็ถูกมายาคติทางความคิดบิดเบือนขึ้นมาใหม่เพิ่มเติมไปว่า...เป็นเพราะมือที่มองไม่เห็นเป็นผู้กำหนดให้กุทรุสกะเป็นพืชวิเศษชั้นสูงสุด! เป็นเสมือนตัวแทนของมือที่มองไม่เห็น หากใครได้กินกุทรุสกะนอกจากจะทำให้มีอายุยืนยาวและแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยแล้วยังหมายถึงการได้เป็นตัวแทนของมือที่มองไม่เห็นนั้น...ซึ่งก็คือเป็นผู้วิเศษกลาย ๆ นั่นเอง” คุณปู่หยุดเว้นระยะอีกครั้งในขณะที่ชายหนุ่มนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ

               “เมื่อมีความเชื่อและศรัทธาอย่างนี้จึงเกิดการต่อสู้แย่งชิงหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามกุทรุสกะเลยก็ว่าได้ เทศกาลบูชาก็แปรสภาพมาเป็นเทศกาลเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงความเป็นผู้วิเศษ ที่ว่างสำหรับผู้วิเศษก็คือผู้ชนะเท่านั้น มันจึงเป็นเทศกาลที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน” ท่านอธิบาย

                ชายหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งเมื่อได้ฟังข้อมูลที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอัตโนมัติ...

               “แล้วทำไมไม่ทำเป็นแคปซูลออกมาเหมือนเนื้อสัตว์หรือพืชผักอื่น ๆ หละครับคุณปู่ จะได้ไม่ต้องแย่งชิงเข่นฆ่ากัน” เขาถามออกไปตามความคิด

                ปู่ยิ้มเล็กน้อย “ความเชื่อและศรัทธาที่ถูกส่งผ่านต่อ ๆ กันมาจนมีขาหยั่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของทุกคน...นั่นคือเหตุผล” หยุดเว้นระยะ

                “ความเชื่อและความศรัทธาดังกล่าวมีพลังมหาศาลเกินกว่าที่จะไถ่ถอนออกมาได้ง่าย ๆ เผ่าพันธุ์ของพวกเราจะมีความผูกพันกับกุทรุสกะเป็นอย่างมากเพราะถือเป็นพืชกินได้ชนิดเดียวที่มีหลงเหลืออยู่มาพร้อมกับบรรพบุรุษยุคแรกของเรา” หยุดเว้นระยะอีกครั้ง

                “ซึ่งแตกต่างกับเนื้อสัตว์และพืชชนิดอื่น ๆ ทั้งหมดที่สูญพันธุ์ไปก่อนหน้านั้นตั้งนาน เมื่อความผูกพันกลายมาเป็นรากฐานแห่งความเชื่อและความศรัทธาที่ว่าเป็นพืชวิเศษที่ถูกเนรมิตขึ้นมาจากมือที่มองไม่เห็นและเป็นเสมือนตัวแทน หากนำมาสร้างขึ้นด้วยกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์ก็จะถือได้ว่าเป็นการลบหลู่หรือท้าทายอำนาจของมือที่มองไม่เห็นนั่นเอง” ท่านอธิบายให้ความกระจ่างกับเขา

                                       

             “แล้วเคยมีใครลองเอามาทำหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นเพราะความอยากรู้

              “เคยมีความคิด...เมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมาตอนนั้นกุทรุสกะเริ่มที่จะหายากเลยมีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งคิดว่าน่าจะนำมาทำเป็นแคปซูลเพื่อที่จะได้ไม่มีการเข่นฆ่าแย่งชิงกัน” ท่านหยุดเว้นระยะ

               “แต่ปรากฏว่าถูกต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มคนชั้นล่างส่วนใหญ่จนต้องล้มเลิกไปในที่สุด” ปู่อธิบายต่อ

               “งั้นก็น่าจะลองเอามาเพาะพันธุ์ทางกระบวนการของวิทยาศาสตร์...ก็น่าจะดี” ชายหนุ่มพูดขึ้นลอย ๆ มากกว่าเป็นการออกความเห็น

               “นอกจากสภาพอากาศแล้ว...อย่าว่าแต่พื้นที่เพาะปลูกเลย พื้นที่ ๆ จะให้ประชากรอาศัยอยู่ยังแทบจะไม่มี นี่ขนาดในเมืองยังหนาแน่นขนาดนี้ หากหลานชายออกไปนอกเมืองที่มีคนชั้นล่างอยู่เรียกได้ว่าเป็นคลื่นของมนุษย์เลยก็ว่าได้” ปู่ยิ้มนิดนึงก่อนพูดต่อ

              “ในยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งการแย่งที่ทำกิน แย่งถิ่นที่อยู่ แย่งคู่พิศวาสที่มีอยู่ทั้งกลุ่มคนชั้นสูงและคนชั้นล่าง แต่คนชั้นสูงจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างก็คือ แย่งอำนาจวาสนา ปัญหาดังกล่าวล้วนนำมาซึ่งการเข่นฆ่ากัน” ปู่อธิบายกับเขา

          “แล้วเรา เอ่อ...ผมหายถึงหน่วยงานรัฐบาล เอ่อ...ของอาณาจักรนะครับ...ไม่มีทางช่วยเลยหรือครับ”

           ปู่ส่ายหน้าช้า ๆ “ท่านผู้ครองราชอาณาจักรและผู้บริหารระดับสูงแห่งราชอาณาจักร พวกท่านได้ทำดีที่สุดตามสภาวการณ์ที่เป็นอยู่แล้ว ยุคก่อนหน้านี้เทศกาลกุทรุสกะจะมีทุกสัปดาห์”

             “สัปดาห์ละครั้ง!” ชายหนุ่มอุทานขึ้นด้วยความตกใจ

              ‘นี่ขนาดเดือนละครั้งยัง...’ เขาคิดต่อ

            “อืม... ทุกสัปดาห์ แต่ว่าท่านผู้ปกครองสูงสุดสามารถที่จะเจรจากับผู้นำของกลุ่มคนชั้นล่างให้ยอมรับร่วมกันที่เดือนละครั้งได้ ซึ่งการเจรจาดังกล่าวใช้เวลามายาวนานตั้งแต่รุ่นปู่ของท่านเรื่อยมาจนถึงรุ่นท่านจึงสำเร็จ แต่จะให้ยกเลิกไปเลยคงไม่มีทาง!” ปู่สรุปในตอนท้าย

           “แล้วใครเป็นผู้บริหารจัดการกุทรุสกะครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความอยากรู้

            “ท่านผู้ปกครองสูงสุดกับผู้บริหารระดับสูงจะมีหน้าที่ดูแลทั้งหมดในการควบคุมเขตพื้นที่ที่กุทรุสกะเกิดขึ้น เมื่อได้ผลผลิตก็เอามาแบ่งสันปันส่วนตามลำดับจากบนลงล่าง” หยุดเว้นระยะ  

            “นอกจากกุทรุสกะแล้ว...ผลผลิตทุกอย่างของส่วนกลางจะถูกจัดสรรแบ่งปันไปในลักษณะเดียวกันโดยจะได้รับทุกคนตามสัดส่วนที่กำหนดไว้” ปู่อธิบาย

            “แล้วทำไม ไม่แบ่งการบริหารจัดการ เอ่อ...ผมหมายถึงให้เขาแข่งขันกันอย่างเสรีตามความสามารถหละครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความสงสัยและคิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า

            “ทรัพยากร!” ปู่ย้ำหนักแน่น “ในยุคเผ่าพันธุ์ของเราไม่มีทรัพยากรหลงเหลือพอที่จะทำอย่างนั้น ทรัพยากรสำคัญ ๆ ถูกผลาญหมดไปตั้งนานกว่าหลายพันปีมาแล้ว”

            ตอนนี้ชายหนุ่มฟังยังรู้สึกสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็พยายามที่จะเข้าใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจในโอกาสต่อไป...แต่มีอีกหนึ่งคำถามที่ยังคงค้างคาในใจของเขาตลอดมานั่นก็คือ

            “คุณปู่ครับ ผมอยากรู้ว่าจู่ ๆ ผมมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงครับ?” ชายหนุ่มถามออกไปด้วยความใคร่รู้อย่างเต็มที่

           “เรื่องนี้! ปู่คิดว่าลูกชายของปู่ซึ่งก็คือพ่อของสาวน้อย...จะเป็นผู้ที่ให้คำตอบกับหลานได้ดีที่สุด” ท่านหยุดเว้นระยะในขณะที่ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม...ท่านจึงพูดตัดบทไปว่า

             “หลานชาย...ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่หลานต้องเรียนรู้จากที่นี่...มันเป็นผลของกรรมร่วมที่ส่งผ่านมาตั้งยุคก่อนหน้า...มายุคหลาน...มายุคนี้...และก็จะมีอีกต่อไป...ต่อไป...ต่อไป...” คุณปู่หยุดเว้นระยะ

             “และที่สำคัญหลานชายก็จะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงของที่นี่ให้ดีขึ้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะ...” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอก่อนที่คุณปู่จะค่อย ๆ หลับตาลงโดยไม่พูดอะไรต่อ

   

             ‘มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นเหรอ! ถ้างั้น...เราจะต้องอยู่ที่นี่อีกกี่เดือน? กี่ปี? หรือว่าเรา...”

             “โอ้ย!!! นี่มันยุคอะไรกันนี่!” ชายหนุ่มตะโกนออกมาเมื่อถูกความสับสนพุ่งเข้าเล่นงานอีกครั้งหลังจากอยู่คนเดียวภายในห้อง...

 

********************************************************************************************************************

     กุทรุสกะ ในพระไตรปิฎก ไทยแปลกันว่าข้าวหญ้ากับแก้ ซึ่งจะเป็นโภชนะอันเลิศในสมัยที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี

 

   เครดิตภาพ : http://www.ecberkku.com/image/inside/mengree.jpg

 

 

หมายเลขบันทึก: 504194เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2012 15:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 ตุลาคม 2012 21:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

..นักวิทยา.ศาตร์..พยายามหาตำตอบว่า..มันคืออะไร..ความมืดดำในห้วงอาวกาศ..กลุ่มดาวกาแลกซี่ในถนนช้างเผือก..ถูกถ่ายภาพมาให้เห็นด้วย.ชิป..เป็นล้านๆตัว..ได้แต่ภาพจินตนาการกับความไม่รู้ที่ยังมืดๆๆต่อไปในศรัทราของความอยากรู้...(ยายธี)

ขอบพระคุณ คุณยายธี มากครับ ที่แวะมาให้กำลังใจอยู่เสมอและฝากข้อคิดปริศนาเชิงปรัชญาให้หลาน ๆ ได้ขบคิดต่อไป... :)

ขอบพระคุณกำลังใจจากทุกท่านที่ส่งผ่านทางดอกไม้มากครับ... :) 

ดีใจที่ไม่อยู่ถึงยุคนั้น

ขอบพระคุณ อาจารย์prathan มากครับที่แวะมาให้กำลังใจอยู่เสมอ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท