6.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)
ข้อมูลทั่วไปของประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศอินโดนีเซีย หรือชื่อทางการว่า “สาธารณรัฐอินโดนีเซีย” (Republic of Indonesia) เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 17,500 เกาะ แต่มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 3,000 เกาะ ภูมิประเทศของอินโดนีเซียตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนกับทวีปออสเตรเลีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก จึงทำให้อินโดนีเซียสามารถควบคุมเส้นทางการติดต่อระหว่างมหาสมุทรทั้งสองผ่านช่องแคบสำคัญต่างๆ เช่น ช่องแคบมะละกา ซุนดรา และลอมบ็อก ซึ่งล้วนเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้และเอเชียตะวันออก อินโดนีเซียมีพื้นที่ราว 5,193,250 ตารางกิโลเมตร ชื่อ “Indonesia” มาจาก “indos nesos” แปลว่า “หมู่เกาะใกล้อินเดีย” มีประชากรกว่า 237 ล้านคน (สำรวจปี 2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม (88%) ศาสนาคริสต์ (8%) ศาสนาฮินดู (2%) ศาสนาพุทธ (1%) และศาสนาอื่นๆ (1%) ภาษาทางการคือ ภาษาอินโดนีเซีย หรือ Bahasa Indonesia
ปัจจุบัน ประเทศอินโดนีเซียปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร แบ่งการปกครองเป็น 30 จังหวัด 2 เขตการปกครองพิเศษ และ 1 เขตนครหลวงพิเศษ มีเมืองหลวง คือ กรุงจาการ์ตา
ในด้านเศรษฐกิจ พื้นที่ส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียเป็นป่าดงดิบ เป็นประเทศที่มีป่าไม้มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลผลิตจากป่าไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็ง ด้านเกษตรกรรมมีการปลูกพืชแบบขั้นบันได มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ยาสูบ ข้าวโพด เครื่องเทศ ประมง และมีแร่ธาตุที่สำคัญได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งทำรายได้ให้แก่ประเทศมากที่สุด อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การกลั่นน้ำมัน การต่อเรือ เป็นต้น[1] สกุลเงินของประเทศอินโดนีเซีย คือ รูเปียห์
การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน
อินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียนโดยการร่วมลงนามในปฏิญญากรุงเทพฯ ของนายอาดัม มาลิก รัฐมนตรีจากกระทรวงการต่างประเทศ ในระยะเริ่มแรกของการก่อตั้งอาเซียน อินโดนีเซียจัดได้ว่าเป็นชาติที่มีศักยภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอื่นๆ เหตุผลที่ประเทศอินโดนีเซียเข้าร่วมอาเซียนในปี 2510 มีปัจจัยสนับสนุนแบ่งเป็น 2 ด้านหลักๆ กล่าวคือ
1) ปัจจัยแวดล้อมทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์และสังคม เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีทรัพยากร มีประชากร และมีพื้นขนาดใหญ่เป็นพี่เบิ้มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำไปสู่การเสริมสร้างทัศนคติของอินโดนีเซียที่มองเห็นศักยภาพและความพร้อมของตนเองที่เหนือประเทศในภูมิภาคเดียวกัน จนเกิดความรู้สึกเลื่อมใสในตัวเอง (self-respect) และรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ (self-importance) เหล่านี้ผลักดันให้เข้ามามีบทบาทสำคัญทางการระหว่างประเทศ
2) การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางต่างประเทศของอินโดนีเซีย กล่าวคือ ภายหลังได้รับเอกราช จากเนเธอร์แลนด์ในปี 2488 อินโดนีเซียมีนโยบายต่างประเทศที่เน้นหนักไปในเรื่องความเป็นชาตินิยม ต่อต้านสหรัฐฯและอดีตจักรวรรดินิยม ตลอดจนปฏิเสธการที่จะเข้าร่วมเป็นภาคีกับกลุ่มประเทศใด ยึดมั่นในหลักการ “เป็นอิสระและแข็งขัน” (Independent and Active) ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นผลจากอิทธิพลและประสบการณ์ในยุคที่อินโดนีเซียอยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ทำให้มีการต่อสู้อย่างมุ่งมั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชและอธิปไตย ดังนั้น พฤติกรรมในเวทีการเมืองระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย จึงมีลักษณะไม่ผูกพันกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (Non-Alignment) ส่งผลให้อินโดนีเซียมีความเหินห่างออกจากภูมิภาคและไม่ได้ให้ความสนใจในความเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค จนกระทั่งในปี 2508 สมัยของประธานาธิบดีซูฮาร์โต ภายใต้ยุค “ระบบใหม่” เน้นหลักอาศัยนโยบายการเศรษฐกิจนำการเมือง หันมาสนใจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง และสร้างความร่วมมือภายในภูมิภาค โดยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่มีความประนีประนอมมากขึ้น แต่ยังคงยึดมั่นในหลักการ “เป็นอิสระและแข็งขัน” และให้ความสำคัญแก่กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอยู่เช่นเดิม ในขณะที่มีท่าทีต่อเพื่อนบ้านผ่อนปรนมากขึ้น นำไปสู่ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการก่อตั้งอาเซียน
บทบาทของอินโดนีเซียในอาเซียน
ประเทศอินโดนีเซียในสมัยของประธานาธิบดีซูฮาร์โต ได้มีนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยหันมารื้อฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกมากขึ้น และมีความพยามยามในการร่วมมือในส่วนภูมิภาคมากขึ้น ดังเช่น การที่อินโดนีเซียประกาศยุติการเผชิญหน้ากับมาเลเซียด้วยหลัก “การยุติปัญหาของชาวเอเชียโดยชาวเอเชียด้วยกันเอง” (Asian Solutions for Asian Problems)[2] อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปี พ.ศ.2540-2541 อินโดนีเซียมีปัญหาภายในที่มีสภาวะการผลัดเปลี่ยนผู้นำ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้บทบาทในอาเซียนของอินโดนีเซียลดลงไป กระทั่งเริ่มมีบทบาทอย่างสำคัญในอาเซียนอีกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์ตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ถล่ม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 โดยในช่วงระยะเวลา 1 ปี หลังเหตุการณ์ อินโดนีเซียได้มีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศในฐานะที่เป็นประเทศที่ถูกเชื่อว่ามีฐานของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอยู่ภายในประเทศ[3] ทำให้อินโดนีเซียต้องแสดงบทบาทที่ชัดเจนเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย โดยได้ร่วมมือกับอาเซียนในการประกาศใช้ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านลัทธิการก่อการร้ายปี 2001 (2001 ASEAN Declaration on Joint Action to Counter Terrorism) นอกจากนี้ยังได้เสนอเป็นผู้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยการต่อสู้กับลัทธิการก่อการร้ายระหว่างประเทศอีกด้วย
ในด้านบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ประเทศอินโดนีเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน 3 สมัยด้วยกัน กล่าวคือ
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2519 ที่เมืองบาหลี มีการประกาศปฏิญญาบาหลีฉบับที่ 1 หรือ Bali Concord I ซึ่งช่วยวางรากฐานสำคัญให้กับอาเซียน โดยเสนอวัตถุประสงค์และโครงสร้างของอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก และกำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา โดยมีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือ เพื่อยึดเป็นพื้นฐานในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ
ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 7-8 ตุลาคม 2546 ที่เมืองบาหลี ในครั้งนี้อาเซียนได้ประกาศปฏิญญาบาหลีฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประชาคมอาเซียน ซึ่งกำหนดให้มี 3 เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมความมั่นคงและการเมือง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคม-วัฒนธรรม
ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 ที่เมืองบาหลีเช่นกัน อาเซียนมีแผนที่จะออกปฏิญญาบาหลีฉบับที่ 3 ซึ่งจะกำหนดบทบาทและทิศทางของประชาคมอาเซียนในเวทีโลกจะเห็นได้ว่าอินโดนีเซียมีบทบาทนำในอาเซียนมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน อินโดนีเซียมักจะนำเสนอแนวความคิดและโครงการใหม่ต่ออาเซียน
โดยในปี 2554 ที่อินโดนีเซียรับตำแหน่งประธานอาเซียน อินโดนีเซียได้มีความริเริ่มที่สำคัญ 4 ประการ
ประการแรก คือ การเสนอตัวเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเรื่องเขตแดนรอบปราสาทเขาพระวิหาร
ประการที่ 2 ความพยายามผลักดันให้พม่าเปิดกว้างทางด้านการเมืองมากขึ้น และเร่งปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ เพื่อให้พม่าก้าวทันโลกไปพร้อมกับประเทศอื่นในอาเซียน
ประการที่ 3 การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก มีสหรัฐอเมริกา และรัสเซียเข้าร่วมเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการสร้างระเบียบและสถาบันความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และวาระที่ชัดเจนมากขึ้น
ประการที่ 4 การริเริ่มการผลักดันให้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนในทะเลจีนใต้ จนเกิดปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยธำรงสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้ เป็นการตอกย้ำบทบาทที่สำคัญที่สุดของอาเซียน ในการสร้างกฎระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประเทศสมาชิก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียน[4]
[1] วิทย์ บัณฑิตกุล. รู้จักประชาคมอาเซียน. (กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์, 2554). หน้า 214.
[2] พิษณุ สุวรรณะชฎ. สามทศวรรษอาเซียน (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2540). หน้า 44.
[3] สุริชัย หวันแก้ว และคณะฯ. อาเซียน : สิ่งท้าทายใหม่และการปรับตัว. (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , 2548). หน้า 74.
[4] Komsan. บทบาทของอินโดนีเซียในอาเซียน. สืบค้นเมื่อ 22 มิถุนายน 2555 จากhttp://news.voicetv.co.th/global/23660.html
ไม่มีความเห็น