ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางขึ้นอีสานเหนือเพื่อหาซื้อของเข้าพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีไทยโบราณ (ก่อนปิดงบประมาณ) คราวนี้ขับผ่านแถวอุดรธานีต่อสกลนคร ได้เห็นภูมิประเทศที่คล้ายกับแนวพิจิตรต่อ พิษโลก ตาก กำแพงเพชร รวมถึง ชัยภูมิ ขอนแก่น และจว. อื่นๆ คือมีลักษณะเป็นเนิน (หรือ โคก หรือ ดอน เตี้ยๆ) มากหลาย สลับกันเป็นริ้วๆ โดยเฉลี่ยโคกเหล่านี้สูงประมาณ 50 เมตร กว้างประมาณ 2000 เมตร ยาวก็ประมาณนี้ เป็นหลังเต่ากระจาย ดูจากระยะไกลแล้วก็มีความสวยงามตามธรรมชาติเฉพาะตัวไปอีกแบบ ถ้าไปสร้างบ้านอยู่บนยอดเนินจะสวยมาก เพราะได้ลมแรง และได้วิวดี
พื้นที่เหล่านี้ทำนาไม่ได้ ส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือ การปลูกอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของชนบทไทยเรา ก็ยากจนกันต่อไปตามปกติ จนทำให้หลายคนต้องไปหารายได้จากการรับจ้างชุมนุมในใจกลางกทม. เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับนักธุรกิจการเมืองบางคน
มือถือพวงมาลัยใจก็คิดไปพลางว่า ทำไมเราไม่กั้นเขื่อน ระหว่างหุบร่องเนินซึ่งเป็นร่องรับน้ำจากลูกเนินทั้งสองฝั่ง ซึ่งถ้าเราทำเป็นขยักๆ ไปเรื่อยๆ ตามร่องน้ำ เราจะได้เขื่อนจำนวนมาก ทั้งในแนวดิ่ง และแนวขนาน โดยเราได้ระดับน้ำลึกขนาด ๕ เมตร หน้าตัดเขื่อนเป็นรูปสามเหลี่ยม ที่มีหน้ากว้างประมาณ 200 เมตร ความยาวขนาดสัก 2 กม. เราจะกักน้ำได้เขื่อนละ 500,000 ลูกบาศก์เมตร ถ้าเรามีสัก 1000 เขื่อนใน 1 จว. (คือมีประมาณ 1 หมู่บ้านต่อ 1 เขื่อน ) เราก็กักได้ 500 ล้าน ลบ. เมตร
การสร้างเขื่อนกักน้ำแบบนี้จะ ลงทุนน้อยมากเพราะไม่ต้องขุดหนอง และกินเนื้อที่น้อย (ผลกระทบต่อระบบนิเวศต่ำ) เพราะสร้างตรงหุบเนินที่มีความลาดชันสูง ที่ซึ่งหน้าตัดเขื่อนเป็นรูปสามเหลี่ยม
สำหรับเงินลงทุนสร้าง อาจกู้มาจาก “ธนาคารน้ำ” ซึ่งรัฐบาลต้องตั้งขึ้นมา หรือจะใช้โครงสร้างของธกส. ก็ได้
ปริมาณน้ำที่กักได้จะไปเพิ่มผลผลิตการเกษตรในพื้นที่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งก็เอาไปจ่ายคืนเงินกู้ระยะยาว (เช่น ๒๐ ปี) อีกทั้งจะมีรายได้เสริมคือผลผลิตการประมง และพืชน้ำอีกด้วย
การรดน้ำพื้นที่สวน ไร่ นา ซึ่งปลูกบนเนินในระบบนี้คือ รดน้ำตอนกลางคืน ด้วยการสูบน้ำจากหุบเนินขึ้นไปบนยอดเนินแล้วปล่อยให้ไหลด้วยแรงโน้มถ่วงลงไปรดไร่นา ทั้งนี้โดยการใช้ปั๊มมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้ไฟที่ผลิตในเวลากลางคืนซึ่งมักเป็นไฟที่เหลือใช้ ซึ่งทำให้ค่าไฟมีราคาถูก และหรือทำให้โรงไฟฟ้ามีการผลิตเต็มศักยภาพตลอดทั้งวันทั้งคืน (ไม่เสียศักยภาพไปโดยเปล่าประโยชน์ในเวลากลางคืน) อีกทั้งน้ำที่ล้นฝายออกไปก็ยังสามารถนำไปปั่นเป็นไฟฟ้าขนาดเล็กได้อีกด้วย
พอมีน้ำแบบนี้จะทำให้มีทางเลือกในการทำเกษตรอีกมากเช่น อาจปลูกยางพารา หรือ ปาล์มน้ำมัน แทนอ้อย ข้าวโพดได้ (พืชพวกนี้มีความต้องการน้ำสูงกว่าอ้อย ข้าวโพดมาก) ก็ทำให้มีรายได้มากขึ้นและเหนื่อยยากน้อยลง แถมยังกลายเป็นสวนป่าที่ช่วยซับน้ำป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ปลายน้ำได้อีกด้วย
สำหรับในฤดูน้ำท่วม หากเขื่อนชุมชนเหล่านี้สามารถกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้นได้ตามที่ร้องขอไปจากหน่วยงานบริหารน้ำท่วม ก็จะได้รับเครดิทน้ำจากธนาคารน้ำ เช่น สามารถรับน้ำได้เพิ่ม 1 แสน ลบ.ม. ก็ได้เงิน 1 แสนบาทเป็นต้น โดยเครดิทนี้สามารถใช้ในการส่งคืนเงินกู้ได้ด้วย พอใช้คืนเงินกู้หมดแล้วก็อาจใช้เป็นเครดิทในการกู้เพื่อพัฒนาชุมชนได้
แน่นอนว่าการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนชุมชนนี้ต้องบริหารโดยคณะกรรมการระดับชุมชนที่ปลอดการเมือง หรือ ปลอดการโกงจากนักการเมืองท้องถิ่นด้วย....ซึ่งยาก
...คนถางทาง (๑๘ กันยายน ๒๕๕๕)
นั่นดิ.. ท่านอาจารย์ ที่ไหนมีน้ำที่นั่นมีชีวิต แล้วก็มี.. ชีวาด้วยเพราะสิ่งที่ตามมามีอีกมากโข มันเป็นต้นกำเนิดของห่วงโซ่อาหารเลยนะคะ ลองนึกตามนะคะ.. ว้าว อีสานเขียว และอุดมสมบูรณ์ แล้วชีวิตคนอีสานหล่ะ ไม่ต้องพูดถึง.. ต้องดีแน่นอนค่ะ .. โอ้ยยย.. อยากเห็น อยากเห็น
...ธนาคารน้ำ..กู้..ธกส...ธนาคาร"ต้นไม้"...ธกส..ทำ...มีต้นไม้..มี..สมาชิก.เยอะเลย.เป็นแสนมีต้นไม้เป็นล้านอยู่ในกระดาษ..ได้...(พยายามต่อรองมาหลาย..รัฐบา..น..สุดท้ายได้ยินว่า..รับเรื่องแล้ว..สองพันล้าน...ตอนนี้..หายป๋อมแป๊มไป..สงสัยว่า..จา..ไป..อยู่ใน..ธนาคารน้ำ..นี่เอง...แหะะๆๆๆ..(ยายธี)....
ชื่นชมอาจารย์มากๆค่ะ