ความหมายของ “สิทธิมนุษยชน”
ความหมายของ “สิทธิมนุษยชน” เริ่มปรากฏหลังจากสมัชชาสหประชาชาติได้ผ่านมติเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2491 ให้มีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แม้ในตัวปฏิญญาฯ มิได้ให้คำจำกัดความไว้ แต่หากพิจารณาเนื้อความแห่งบทบัญญัติก็พอจะทราบได้ว่า สิทธิมนุษยชนได้แก่ ความเท่าเทียมกัน สิทธิในการดำรงชีวิต ในเสรีภาพ ในร่างกาย และในทรัพย์สิน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นับแต่ปี พ.ศ.2492 จนถึง พ.ศ.2534 ได้นำเนื้อความแห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาบัญญัติไว้ด้วย แต่ไม่มีคำว่า “สิทธิมนุษยชน” อยู่เลย คำว่า “สิทธิมนุษยชน” ถูกนำมาบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นครั้งแรกใน พุทธศักราช 2540 ซึ่งก็มิได้ให้ความหมายเอาไว้ แต่หากตีความตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดโดยไม่อาศัยกฎหมายอื่นมาประกอบ อาจกล่าวได้ว่าสิทธิมนุษยชนหมายถึง
1) สิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้จากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ พุทธศักราช 2492 จนถึง พุทธศักราช 2534 ที่ปรากฏเด่นชัดคือ ความเสมอภาค
2) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2540 มาตรา 4, 26 และ มาตรา 28
3) ขอบเขตแห่งสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2540 มาตรา 200
นิยามคำว่า “สิทธิมนุษยชน” จึงยังมีข้อถกเถียงกันว่ามีความหมายอย่างไร ซึ่งส่งผลถึงการทำความเข้าใจของผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเช่นกัน ซึ่งถ้าพิจารณาจากตราสารระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จะไม่พบว่ามีที่ใดให้นิยามศัพท์ไว้ แต่จะระบุลักษณะของสิทธิที่ต้องการคุ้มครอง เช่น ในข้อ 3 ของปฏิญญาสากลฯ บัญญัติว่า “บุคคลมีสิทธิในการดำรงชีวิต ในเสรีภาพ และในความมั่นคงแห่งร่างกาย” ดังนั้นผู้ใช้กฎหมายอาจรู้ความหมายโดยอ่านหลักเกณฑ์หรือบทบัญญัติในแต่ละมาตราจะทราบว่าสิ่งที่กฎหมายคุ้มครองคือ สิทธิมนุษยชน ซึ่งตามตัวอย่างในข้อ 3 ของปฏิญญาสากลฯ ได้แก่ สิทธิในการดำรงชีวิต เป็นต้น
การให้นิยามความหมายคำว่า “สิทธิมนุษยชน” จึงมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่ายคือ
(1) หากพิจารณาจากพัฒนาการของแนวความคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนจะเห็นว่า ได้รับการพัฒนามาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1948 จนถึง 2000 ความหมายของสิทธิมนุษยชนขยายตัวจากเดิมไปอย่างกว้างขวางสัมพันธ์กับพัฒนาการของยุคสมัย และประเภทแห่งสิทธิที่ได้รับการรับรองคุ้มครอง ดังนั้น การให้คำจำกัดความไว้แน่นอน จะทำให้พัฒนาการของสิทธิมนุษยชนถูกจำกัด จึงไม่ควรมีคำจำกัดความไว้
(2) หากพิจารณาจากเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประกอบกับผู้บังคับใช้กฎหมายก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องมีความชัดเจนแน่นอน ดังนั้น หากไม่มีกรอบที่ชัดเจนจะทำให้การทำงานมีอุปสรรค เพราะกฎหมายไม่มีความชัดเจนโดยเฉพาะในกรณีที่ต้องวินิจฉัยว่าการใดเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็ต้องรู้ว่าสิทธิมนุษยชนมีลักษณะขอบเขตเช่นใดเสียก่อน
เดิมทีเดียว สิทธิที่เป็นแกนของสิทธิมนุษยชนกำหนดขึ้นโดยกรอบของข้อ 4 วรรค 2 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 ซึ่งบัญญัติห้ามภาคีหลีกเลี่ยงการต้องรับรอง รับรู้ และปฏิบัติตาม ดังนั้นพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนจึงได้แก่ สิทธิในชีวิต สิทธิในการที่จะไม่ถูกทรมาน สิทธิในการที่จะไม่ถูกเอาตัวลงเป็นทาส สิทธิที่จะได้รับการรับรองว่าเป็นบุคคลในสายตาของกฎหมาย และสิทธิที่จะแสดงออก เป็นต้น ซึ่งต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ได้ตีความโดยพิจารณาตามจารีตประเพณีว่า สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาด้วยความเป็นธรรมก็จะต้องถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเช่นกัน
อยากได้เป็นกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลค่ะ