2.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)
ข้อมูลทั่วไปของเวียดนาม
ประเทศเวียดนาม หรือชื่อทางการว่า “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” (Socialist Republic of Vietnam) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน มีอาณาเขตติดกับจีนทางทิศเหนือ และติดกับลาวและกัมพูชาทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออกติดอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้ มีประชากรกว่า 90 ล้านคน (สำรวจเมื่อปี 2554)[1] มากเป็นอันดับ 13 ของโลก ส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม (90%) ที่เหลือคือ ชนกลุ่มน้อย ประกอบด้วยชาวจีน ชาวเขากว่า 30 เผ่า และชาวกัมพูชา ประชากรนับถือศาสนาพุทธ (55%) ศาสนาคริสต์ (7%) และศาสนาอื่นๆ (38%) มีภาษาทางการ คือ ภาษาเวียดนาม
ในด้านการเมืองการปกครอง เวียดนามมีการเมืองที่มีเสถียรภาพ เนื่องจากมีการปกครองในระบอบสังคมนิยม โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (Communist Party of Vietnam) เป็นพรรคการเมืองเดียวและมีอำนาจสูงสุด[2] ผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (Collective Leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่ กลุ่มปฏิรูป (สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ) กลุ่มอนุรักษนิยม (ต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ) และกลุ่มที่เป็นกลาง (ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก)[3] แม้จะปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่รัฐบาลเวียดนามก็ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมตามนโยบาย “โด่ย เหมย” (Doi Moi) ที่ดำเนินมากกว่า 20 ปี เพื่อพัฒนาประเทศให้ทันสมัย
เวียดนามได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 58 จังหวัด และ 5 เทศบาลนคร มีเมืองใหญ่สำคัญ 3 เมือง คือ
ฮานอย (เมืองหลวง) กรุงโฮจิมินห์ และไฮฟอง
สกุลเงินของเวียดนาม คือ ด่ง (ดอง) [4]
ในด้านทรัพยากรและเศรษฐกิจ เวียดนามมีผลผลิตทางการเกษตรกรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวเจ้า ยางพารา ชา กาแฟ ยาสูบ พริกไทย และการประมง ตลาดที่สำคัญของเวียดนาม คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมทอผ้า มีการทำเหมืองแร่ที่สำคัญคือ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ
การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน
ประเทศเวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนในลำดับที่ 7 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 การเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของเวียดนามนี้ได้สวนทางกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการก่อตั้งกลุ่มอาเซียนในปี พ.ศ.2510 ที่มุ่งการต่อต้านประเทศสังคมนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและเวียดนามในทศวรรษที่ 60 อย่างไรก็ตาม มี 2 ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เวียดนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน คือ
1) ปัจจัยทางการเมืองยุทธศาสตร์และความมั่นคง การเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของเวียดนามถือเป็นการปลดปล่อยเวียดนามออกจากความโดดเดี่ยว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกและในภูมิภาค ทำให้เวียดนามสามารถสร้างภาพพจน์ของความเป็นประเทศรักสันติ ลบล้างภาพของผู้รุกรานและลบล้างความหวาดระแวงกับประเทศในภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจรจาของเวียดนามกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องปัญหาผู้ลี้ภัย ปัญหาเขตแดนทางทะเล ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลและปัญหาประมง อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคด้วย นอกจากนี้แสดงเจตนารมณ์ในการเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนยังเป็นวิธีการหนึ่งที่เวียดนามหวังว่าจะนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อเวียดนาม ดังนั้น การเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนจึงเป็นโอกาสที่เวียดนามจะเปลี่ยนภาพพจน์ของตนเองสู่การเป็น “ประเทศสังคมนิยมที่เดินไปสู่เศรษฐกิจการตลาด” และ “ผู้สนับสนุนสันติภาพ”
ยิ่งกว่านั้น การล่มสลายของสังคมนิยมในสหภาพโซเวียตและในยุโรปตะวันออก ยังทำให้เวียดนามมีความกังวลใจเกี่ยวกับภัยคุกคามจากจีนมากขึ้น ซึ่งเวียดนามมีปัญหาความขัดแย้งกับจีนกรณีการอ้างสิทธิในดินแดนทั้งทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะปัญหาในทะเลจีนใต้ ดังนั้น อาเซียนจึงเป็นการลดความเสี่ยงและเป็นเกราะกำบังในการเผชิญหน้ากับจีน และอาจสามารถเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับจีนได้ด้วย โดยเฉพาะในกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ ซึ่งมีการเรียกร้องสิทธิในการครอบครองจากประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม อาเซียนเองต่างก็มีความกังวลต่อท่าทีและนโยบายของจีนในเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์ และยังมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพ ทำให้อาเซียนเห็นความสำคัญของเวียดนามในฐานะประเทศที่สกัดกั้นการเคลื่อนตัวของจีนลงมาทางใต้ [5]
2) ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจจะมีความสำคัญรองจากเหตุผลทางการเมืองในการที่อาเซียนรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิก แต่ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้ โดยความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างเวียดนามกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วหลังจากเวียดนามประกาศถอนทหารออกจากกัมพูชา และได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีสในปี พ.ศ.2534 เหตุผลทางเศรษฐกิจที่เป็นแรงจูงใจให้เวียดนามต้องการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน แบ่งได้เป็น 3 ประเด็นหลักคือ
2.1) ความต้องการแรงสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเวียดนามมองว่าการเข้ารวมกลุ่มอาเซียนจะทำให้เวียดนามมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศจากสมาชิกต่างๆ อันจะมีส่วนเอื้ออำนวยและเร่งการพัฒนาของตนไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดที่วางอยู่บนหลักการของการแข่งขันได้ในที่สุด
2.2) ความต้องการมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และองค์กรการค้าโลก เวียดนามได้ให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) และระบบเศรษฐกิจของโลก ดังนั้น การเป็นสมาชิกของอาเซียน นอกจากจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ยังนำเวียดนามไปสู่ความคุ้นเคยกับแนวทางปฏิบัติในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับโลก ซึ่งจะมีผลดีและเป็นปัจจัยที่จะผลักดันเวียดนามให้ก้าวไปสู่การเป็นสมาชิกในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก)APEC) และองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) [6]
2.3) ความต้องการผลประโยชน์จากลงทุนและการค้ากับประเทศอาเซียน ในฐานะของสมาชิกอาเซียน เวียดนามหวังที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนทั้งหลาย โดยในขณะที่การค้าภายในกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว เวียดนามได้เตรียมพร้อมและปรับทิศทางการส่งออกของตนที่จะไปสู่ตลาดอาเซียนอย่างจริงจังมากขึ้น นอกจากนี้ เวียดนามยังหวังว่าตนจะได้รับสิทธิพิเศษ GSP (Generalized System of Preferences) อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป และเวียดนามยังจะเป็นจุดส่งออกที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ในด้านการลงทุน ทั้งเวียดนามและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยเวียดนามจะสามารถดูดซึมเทคนิค วิทยาการและเทคโนโลยีที่ผ่านมากับการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบการร่วมทุน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตของเวียดนาม
บทบาทของเวียดนามในอาเซียน
เวียดนามได้แสดงถึงความพยายามในการปฏิบัติตามพันธกรณีของสมาชิกอาเซียน โดยได้ลงนามใน Declaration on the Admission ในปี พ.ศ.2538 ตกลงที่จะเข้าเป็นภาคีในปฏิญญาและข้อตกลงฉบับต่างๆ ของอาเซียน รวมถึงความตกลงที่อาเซียนทำไว้กับคู่เจรจาทั้งหมด ในปีเดียวกันเวียดนามได้ลงนามเข้าเป็นภาคีในข้อตกลงแม่บทว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน และพิธีสารว่าด้วยการยอมรับข้อตกลงการกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรร่วม การที่เวียดนามลงนามในข้อตกลงต่างๆ ในกรอบของอาเซียนนี้ เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับข้อผูกพันในความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและเปิดการค้าให้เป็นเสรีของเวียดนาม นอกจากนี้ เวียดนามยังได้เข้าเป็นภาคีในข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน ในปี พ.ศ.2539 มีผลให้เวียดนามสามารถเข้าร่วมในโครงการ AICO ซึ่งมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน โดยมีการแบ่งส่วนตลาดและจัดสรรใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการเข้าเป็นภาคีในข้อตกลงแม่บทว่าด้วยการบริการของอาเซียน ซึ่งเวียดนามต้องเปิดเสรีสาขาบริการต่างๆ ให้แก่สมาชิกอาเซียน ได้แก่ การท่องเที่ยวและโทรคมนาคม
จะเห็นได้ว่า ในช่วง 2 ปีแรกหลังจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในอาเซียน เวียดนามได้พยายามปรับตัวทางการค้าในการเข้าร่วมกับ AFTA (อาฟตา) ปรับตัวด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว อีกทั้งปรับระบบให้สอดคล้องกับระบบของประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เช่น การยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศเวียดนามสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตทางการทูตและทางราชการจากประเทศอาเซียนด้วยกัน ผลจากการปรับตัวทางการค้า ทำให้เวียดนามก้าวสู่แนวทางความเป็นเสรีทางการค้า
นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจและพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีจุดเด่นตรงที่เป็นตลาดใหญ่ มีความสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาเกือบต่ำสุดในอาเซียนรองจากกัมพูชา การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มขึ้น และจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการต่อรองทางการเมือง[7]
ปัจจุบันเวียดนามมีความโดดเด่นในเชิงเศรษฐกิจในอาเซียน คือ เวียดนามตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยมีแนวชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร มีแห่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน โดยมีปริมาณสำรองน้ำมักมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก และสามารถส่งออกน้ำมันดิบได้มากเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีประชากรอ่านออกเขียนได้สูงเกือบร้อยละ 100 ทั้งยังสามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา คือ อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น มีค่าแรงยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยดึงดูดทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในเวียดนาม[8] ขณะเดียวกันเวียดนามก็มีจุดอ่อนในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ประชากรส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน ทำให้เศรษฐกิจเวียดนามในปัจจุบันต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก ทั้งยังมีต้นทุนที่ดินและค่าเช่าสำนักงานค่อนข้างสูง[9]
และปัญหาสำคัญของเวียดนามคือ การฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งสะสางเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงมีรายได้และความต้องการสูงขึ้น สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของเวียดนามในปัจจุบันที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีบทบาทในเวทีสำคัญทางเศรษฐกิจโลก สะท้อนได้จาก ในปี พ.ศ.2550 เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก หรือ WTO ลำดับที่ 150 หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 11 ปี ทำให้หลายประเทศต้องจับตามองถึงบทบาทที่จะทวีความสำคัญขึ้นในเวทีการค้าโลก ในฐานะเป็นฐานการผลิตที่เติบโตเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เนื่องจากเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทข้ามชาติต่างๆ โดยเฉพาะนักลงทุนจากไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์ ส่งผลให้เวียดนามมีภาคการส่งออกที่ขยายตัวสูงและเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
ด้านบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ประเทศเวียดนามรับหน้าที่ในตำแหน่งประธานอาเซียนถึง 2 สมัยด้วยกัน โดยในครั้งแรกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15-16 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ณ กรุงฮานอย และในปี พ.ศ.2553 เวียดนามได้รับตำแหน่งประธานอาเซียนอีกครั้ง และทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 8-9 เมษายน พ.ศ.2553 ซึ่งตรงกับสมัยนายกรัฐมนตรี เหวียน เติน ซุง กับคำขวัญในฐานะประธานอาเซียนของเวียดนาม คือ “สู่ประชาคมอาเซียน: จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ” (Towards the ASEAN Community: From Vision to Action) โดยเวียดนามมีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่สมาชิกอาเซียนอย่างแข็งขันและรับผิดชอบ เพื่อสนับสนุนให้อาเซียนเชื่อมโยงกันอย่างเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ และจากการเหตุการณ์ปะทะระหว่างกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของไทยกับกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีกองกำลังติดอาวุธ ในปี พ.ศ.2553 สมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เวียดนามในฐานะประธานอาเซียนได้แสดงความห่วงใยโดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและแสวงหาการเจรจาอย่างสันติ เพื่อประโยชน์ของชาวไทยและเสถียรภาพในภูมิภาค[10]
หากจะประเมินผลงานของเวียดนามในฐานะประธานอาเซียนที่ผ่านมา (2553) อาจกล่าวได้ว่า เวียดนามมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นสำคัญต่างๆ ที่ประเทศไทย (ประธานอาเซียนในปี 2552) ได้ริเริ่มไว้ เช่น การสานต่อการมีผลบังคับใช้ในด้านต่างๆ ของกฎบัตรอาเซียน โดยการจัดตั้งคณะทำงานด้านกฎหมายอาเซียน การปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ในภูมิภาค (Regional Architecture) โดยการผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซียเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit-EAS) เพื่อเพิ่มยุทธศาสตร์การหารือให้ครอบคลุมรอบด้านต่อไป และการให้การสนับสนุนการผลักดันประเด็นการเสริมสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในภูมิภาค (ASEAN Connectivity) ของไทย[11]
อ่านข้อมูลประเทศเวียดนาม ได้ที่นี่
[1] http://www.apecthai.org/apec/th/profile1.php?continentid=2&country=v9
[2] http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=273
[3] วิทย์ บัณฑิตกุล. รู้จักประชาคมอาเซียน. (กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์, 2554). หน้า 175.
[4] http://www.gustotour.com/info_asia/vietnam/vietnam.html
[5] อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์. อาเซียนใหม่. (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541). หน้า 99-104.
[6] อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์. อาเซียนใหม่. (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541). หน้า 105.
[7] อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์. อาเซียนใหม่. (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541). หน้า 105-106.
[8] เอกรินทร์ เลาจริยกุล. “เวียดนามกับบทบาทในเวทีการค้าโลก” สารวิจัยธุรกิจ. 11, 5 (กุมภาพันธ์ 2550) หน้า 2.
[9] http://www.thai-aec.com/140#more-140
[10] http://www.chaoprayanews.com
[11] สมาคมอาเซียน-ประเทศไทย. “การประชุมยุดยอดอาเซียนครั้งที่ 17 จับตามองก้าวต่อไปของอาเซียน” ใน จดหมายข่าวสมาคมอาเซียน–ประเทศไทย.2, 3 (ตุลาคม-ธันวาคม 2553) : หน้า 6.
ไม่มีความเห็น