ผมเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องการความสุข สิ่งมีชีวิตทุกประเภทไม่ใช่แค่สัตว์เท่านั้นแม้กระทั่งต้นไม้ก็ยังต้องการความสุข ถ้าลองนั่งสังเกตต้นไม้ เราจะพบว่าต้นไม้จะเติบโตและโอนเอนไปในทิศทางที่มีความสุขตามประสาต้นไม้เสมอ
ผมคิดว่าที่จริงแล้วสิ่งไม่มีชีวิตก็ยังต้องการความสุขด้วยซ้ำ ถ้าเราพิจารณาในมุมมองของความสุขของสิ่งนั้นเราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นก็จะโอนเอียงไปในทิศทางแห่งความสุขเช่นเดียวกัน ก้อนเมฆก็ลอยไปในทางแห่งความสุขของก้อนเมฆ ดวงดาวต่างๆ ก็โคจรไปในทิศทางของความสุขของดวงดาว สายลมแสงแดดต่างก็ดำเนินการเคลื่อนไหวของตัวไปในทิศทางแห่งความสุขของสิ่งนั้นๆ
ผมเขียนถึงทิศทางแห่งความสุขของสิ่งไม่มีชีวิตนี้อ่านแล้วอาจจะดูแปลกๆ แต่ผมคิดว่าเข้าใจได้ไม่ยาก
ลองนึกถึงตัวเราตอนเด็กๆ ที่ยังไม่มีอะไรรบกวนความคิดเรามากนัก เวลาเราวิ่งเล่นโดยไม่มีจุดหมายนั้นมีความสุขมาก เราไม่ได้วิ่งเพื่อไปไหนหรือเพื่อวัตถุประสงค์ใด เราวิ่งเพราะเราวิ่ง ผมเชื่อว่ามนุษย์ในโลกนี้ต่างมีประสบการณ์เช่นนี้ทุกคน ความสุขของสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตน่าจะเหมือนกันก็ตรงนี้เอง
แต่มนุษย์เรามี "ความรู้ตัว" (awareness) ซึ่งสิ่งนี้จะเรียกว่าเป็นของขวัญอันแสนวิเศษจากธรรมชาติก็ได้ หรืออาจจะเป็นคำสาปที่โหดร้ายของธรรมชาติก็ได้เช่นเดียวกัน เพราะ awareness ทำให้เราแยกทุกข์จากสุขได้
ผมชอบการเปรียบเทียบในศาสนาคริสต์ ผมคิดว่าเวลาเอาอ่านไบเบิลนั้น ถ้าเราไม่ได้แปลตรงตัวแต่เราตีความหมายถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อเราจะได้แง่คิดที่ดีมากมาย ผมคิดว่าไบเบิลเขียนด้วยการอุปมาอุปไมยอย่างลึกซึ้งที่ต้องการให้ผู้อ่านตีความ และการตีความในไบเบิลก็คือ "meditation" ของชาวคริสต์นั่นเอง (Christian Meditation)
ใน Book of Genesis บทที่สองเขียนไว้น่าคิดทีเดียว คนทั่วไปแม้จะไม่ใช่ชาวคริสต์ก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้ เพราะผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้สึกตัว (the tree of knowledge of good and evil) ที่อดัมและอีฟกินเข้าไปทำให้พวกเขาเกิด awareness ขึ้นมา
ความรู้ตัวทำให้เรา "รู้สึก" ถึงความทุกข์และความสุข แต่เอาเข้าจริงๆ เรากลับไม่ได้ "รู้จัก" ว่าความทุกข์และความสุขคืออะไร มนุษย์จึงต้องใช้ชีวิตที่จะเรียนรู้ที่จะรู้จักสิ่งทั้งสองนี้ตลอดทั้งชีวิต
ผมเชื่อว่าเราทุกคนยังอยู่ในสวนอีเดน แต่พิษของผลไม้ทำให้เรามองไม่เห็นสวน และยิ่งกว่านั้นเรายังมองไม่เห็นพระเจ้าอีกด้วย ทั้งๆ ที่พระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา นั่นคือเราไม่เคยแยกออกจากพระองค์จริงๆ เลยด้วยซ้ำแต่เป็นเรื่องยากมากที่จะ "เห็น" ในสิ่งนี้ เพราะพิษของผลไม้นั้นแรงมาก แม้ผมเองที่เขียนเช่นนี้ก็ยังไม่เห็น ก็แค่ "เหมือนจะเห็นแต่ก็ไม่เห็น" เป็นเช่นนี้อยู่เอง
คนที่เห็นก็จะเรียกพระองค์ว่า God บ้าง Tao บ้าง Atman บ้าง หรือ Dharma อย่างพุทธบ้าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเดียวกันที่ใช้ศัพท์เรียกที่ต่างกันทั้งสิ้น ที่จริงแล้ว Laozi เขียนไว้ดีใน Tao Te Ching ว่า "สิ่งนี้" ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรหรือเรียกว่าอะไร เรียกว่าเต๋าและอธิบายเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน อ่านดูแล้วจะมองให้เป็นมุขตลกก็ได้มองให้ลึกซึ้งก็ดี Laozi น่าจะเป็นผู้เฒ่าอารมณ์ดีคนหนึ่งแน่ๆ
ผมคิดว่าศาสนาพุทธสอนให้เรารู้เท่าทันความรู้ตัว (being mindful of one's awareness) แล้วอยู่กับธรรมชาติ (พระธรรม) เหมือนศาสนาคริสต์ที่สอนให้รู้จักพระเจ้าและตั้งมั่นอยู่กับพระองค์ไม่หลงไปทางอื่น เมื่อเราอยู่กับพระธรรม (หรือพระเจ้า) ได้ ความสุขก็จะมาให้เราเองตามธรรมชาติ
จริงๆ ผมก็เชื่อว่าอิสลามก็สอนสิ่งเดียวกัน เพราะ "มุสลิม" แปลว่า "one who submits to God" (จาก Wikipedia) แต่ผมเขียนได้ไม่มากเพราะผมไม่รู้จริง แล้วผมเคารพศาสนาอิสลามที่ไม่ให้ผู้ไม่รู้จริงวิเคราะห์วิจารณ์ศาสนาจนเกิดเป็นความเข้าใจผิด ที่จริงแล้วเป็นความคิดที่ดีมากในการรักษาศาสนาให้บริสุทธิ์ เรียกว่าถ้าอยากรู้ก็ต้องตั้งใจที่จะเรียนรู้ (คือเป็นมุสลิมก่อน) ไม่ใช่คิดว่ารู้แล้วก็พูดออกไปเท่าที่คิดได้
Thich Nhat Hanh เขียนในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านว่า ทุกเช้าเมื่อท่านจุดธูปบูชาพระพุทธเจ้า ท่านจะบูชาพระเยซูด้วย เพราะท่านมีพระรูปพระเยซูอยู่ในกุฎิเช่นเดียวกันกับพระพุทธรูป
ที่จริงแล้วในประเทศไทยเราจะเห็นรูปพระเยซูและไม้กางเขนในโรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกข์ ตอนผมไปตอนเด็กๆ ผมไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมเข้าใจมากขึ้นแล้ว
มองกลับไปในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ บรรพบุรุษเราได้พัฒนาภูมิปัญญาที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและถ่ายทอดมาให้เราแล้ว แต่คงเป็นเพราะ "พิษ" ของผลไม้แห่งความรู้ตัวที่ทำให้เราไม่ได้เรียนรู้องค์ความรู้เหล่านั้นให้ถ่องแท้ได้เสียที
เราก็คงต้องศึกษาหาทางที่จะดับพิษของผลไม้กันต่อไป ตราบใดที่เรายังไม่ปิดตัวเองที่จะเรียนรู้ พิษนั้นก็คงเบาบางลงได้ครับ
ขอแลกเปลี่ยนบ้างคะ อาจารย์
ศาสนา คือภูมิปัญญาในการหาความสุข
ความสุข คือสิ่งที่คนๆ นั้นเชื้อ บ้างเชื่อว่า เงินสามารถให้ความสุขกับเรา
บ้างเชื้อว่า หน้าที่การงานให้ความสุขกับเรา บ้างก็เชื่อว่าความสงบที่แท้จริงของชีวิต คือความสุขของเรา
บ้างก็เชื่อว่า การปล่อยวาง คือความสุขของเรา
แต่สำหรับบางคนแล้ว ความสุข การไม่รู้สึก ไม่โหยหาแล้วซึ่งความสุข
การรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตนเองมี คือความสุขที่ยิ่งใหญ่ ของคนบางคน
ผมเห็นด้วยกับคุณ Stream มากเลยครับ ผมคิดว่าศาสนาพุทธสอนในประเด็นนี้ไว้ดีทีเดียวครับ การหยุดค้นหาความสุขคือการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบความสุข เพราะเอาเข้าจริงความสุขอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา แต่หลายครั้งเราเลือกที่จะแลกเปลี่ยนความสุขในปัจจุบันกับความสุขที่เราคาดหวังในอนาคต บางครั้งเราก็กำไร บางครั้งเราก็ขาดทุน ผมเห็นว่าศาสนาสอนให้เราไม่หวังกำไรมากก็จะไม่ขาดทุนมาก (มีความสุขในปัจจุบันเพื่อให้มีความสุขในอนาคต) ครับ