อินเดียได้ชื่อว่าเป็นอนุทวีป (Sub-continent) เพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของพื้นที่ อินเดียจึงมีพื้นที่หนึ่งใน ๕ ส่วนของพื้นที่ของโลก อินเดียเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์นานา เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และวัฒนธรรม มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และสังคมของชาวอินเดียอารยันสมัยพระเวท ประมาณ ๒๕๐๐ – ๕๐ ปีก่อนพุทธศักราช ได้มีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในช่วงของแต่ละวัยที่เรียกว่า อาศรม (อาศรฺม) ๔ คือ
๑) พรหมจรรย์ (พฺรหฺมจรฺย) คือวัยเยาว์ ผู้ซึ่งปฏิบัติตนอยู่ในอาศรมนี้ เรียกว่า พรหมจาริน (พฺรหฺมจารินฺ) มีหน้าที่ต้องศึกษาหาความรู้ความสามารถ และศึกษาพระเวท พร้อมทั้งรักษาพรหมจรรย์ กล่าวคือ รักษาตนให้บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยเมถุนธรรมทั้งกายและใจ ยังชีพอยู่ด้วยการภิกขาจารและมีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ครู
๒) คฤหัสถ์ (คฺฤหสฺถ) คือ วัยผู้ใหญ่หรือผู้ครองเรือน มีหน้าที่สร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัว
๓) วานปรัสถ์ (วานปฺรสฺถ) วัยสูงอายุ ต้องบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม
๔) สันนยาสี (สํนฺยาส) วัยชรา ต้องบำเพ็ญพรตและจาริกสั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
พระเวท คือ คัมภีร์ที่เก่าแก่ของพวกอินโด - อารยัน เป็นแหล่งกำเนิดของวรรณกรรมอินเดีย คำว่า “เวท” แปลว่า ความรู้ มาจาก วิทฺ ธาตุ ที่แปลว่ารู้ ซึ่งหมายถึงความรู้ทางศาสนา หรือความรู้ทางด้านจิตใจของชาวฮินดู คัมภีร์พระเวทมิใช่ผลงานของนักปราชญ์ หรือของศาสดาคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ หากเป็นที่รวมปัญญาความคิดนึกของบรรพบุรุษของชาวอินเดียหลายชั่วอายุคน ที่สืบทอดกันมาโดยวาจาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนในที่สุดก็รวบรวมจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
“พระเวท” นั้น ประกอบด้วยคัมภีร์ ๓ ประเภทด้วยกันคือ
๑) คัมภีร์สังหิตา หรือ มันตระ คำว่า “สังหิตา” แปลว่า ที่รวมหรือชุมชม ในที่นี้หมายถึง ชุมนุมบทสดุดีเทพเจ้า บทสวดขับร้องมนต์หรือคาถาและสูตรสำหรับใช้ในพิธีบูชายัญ บทประพันธ์ทั้งหมดในคัมภีร์สังหิตาเป็นร้อยกรอง กล่าวคือแต่งเป็นฉันท์
๒) คัมภีร์พราหมณะ ได้แก่ข้อความร้อยแก้ว อธิบายความหมายของบทสดุดีเทพเจ้า บัญญัติว่าบทสดุดีใดควรใช้ในที่ใด พรรณนาถึงกำเนิดของบทสดุดีในส่วนที่เกี่ยวกับกำเนิดของพิธีบูชายัญ ตลอดจนอธิบายความหมายของพิธีบูชายัญด้วย
๓) คัมภีร์อารัณยกะ และอุปนิษัท ได้แก่บทประพันธ์ที่ว่าด้วยความคิดนึกทางด้านปรัชญาหรืออีกนัยหนึ่ง คือ ความนึกคิดที่เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ หรืออาตมัน เรื่องพระเป็นเจ้า เรื่องโลก และเรื่องมนุษย์ข้อความบางตอนในคัมภีร์อารัณยกะและอุปนิษัทซ้ำกับที่มีอยู่ในคัมภีร์พราหมณะ
คัมภีร์สังหิตา หรือ มันตระ ซึ่งกล่าวถึงข้างต้นนั้นคงจะมีแพร่หลายอยู่มากมายตามสำนักและอาจารย์ต่าง ๆ และที่พอจะแยกออกเป็นประเภทต่างหากได้นั้น สามารถแยกได้ดังต่อไปนี้
๑) สังหิตา หรือชุมนุมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยบทสดุดีเทพเจ้า เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา
๒) สังหิตา หรือชุมนุมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยสูตรสำหรับใช้ในพิธีบูชายัญเรียกว่า ยชุรเวทสังหิตา ซึ่งยังแยกออกอีกเป็นสองแขนง คือ กฤษณะยชุรเวท แปลว่า ยชุรเวทดำ และศุกละยชุรเวท แปลว่า ยชุรเวทขาว
๓) สังหิตา หรือชุมนุมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยบทสวดขับร้องเรียกว่า สามเวทสังหิตา
๔) สังหิตา หรือชุมนุมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่าง ๆ เรียกวา อาถรรพเวทสังหิตา
สังหิตา ๔ ประเภทที่ได้กล่าวมานี้ เป็นพื้นฐานอันก่อให้เกิดคัมภีร์พระเวททั้ง ๔ ที่เรียกว่า “จตุรเวท” อาจจกล่าวไว้ด้วยว่าคัมภีร์พระเวท แต่ละคัมภีร์นั้นต่างก็มีคัมภีร์พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัทเป็นบริวาร ในทำนองเดียวกันกับคัมภีร์ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท ก็มีบริวารด้วยเช่นกัน เช่นคัมภีร์ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท ก็มีคัมภีร์พราหมณะ อารัณยกะและอุปนิษัท เป็นบริวาร
คัมภีร์ทั้ง ๔ หมวดที่ได้กล่าวมาแล้วนี้คือ เวท พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัทนั้น มีอายุกาลเรียงตามลำดับและเรียกรวม ๆ ว่าเป็น “ศรุติ” แปลว่า สิ่งที่ได้ยินมา หมายถึงได้ยินมาจากพระเจ้า โดยผ่านสื่อกลางคือ ฤาษีมุนี และด้วยเหตุนี้จึงเป็น “อเปารุเษยะ” (ไม่ใช่เป็นของมนุษย์สร้างขึ้น) บรรดาฤาษีมุนีผู้ได้ยินได้ฟัง “ศรุติ” เรียกว่า “มันตทรรษฎา” แปลว่า ผู้ที่ได้เห็นหรือได้รับมนตร์จากพระเจ้า
จำลอง สารพัดนึก, ประวัติวรรณคดีสันสกฤต (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง๒๕๔๖), ๗.
กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, ภารตวิทยา พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร: ศยาม, ๒๕๔๗), ๒๕ - ๒๙.
กรุณา – เรืองอุไร กุศลาสัย, อินเดีย อนุทวีปที่น่าทึ่ง (กรุงเทพมหานคร : ศยาม , ๒๕๔๒), ๖๐.
ขอบคุณดอกไม้นะครับ
thanks kha
ได้ฟามรู้มากกกกเรยยยย