ศิลปะของประเทศสเปน


จากเซบีญ่ามาบาเลนเซีย เราต้องไปต่อรถไฟที่มาดริดค่ะ กว่าจะถ่อมาถึงบาเลนเซียก็สี่ทุ่มกว่าๆโน่
ส่วนนี่ก็ Estacui del Nord สถานีรถไฟสไตล์อาร์ตนูโวของบาเลนเซียเด้อ



จากนั้นเราก็โบกแท็กซี่เพื่อไปยัง Rooms Deluxe Hostel ที่ซุกหัวนอนของพวกเรา
ที่อิฉันเลือกโฮสเตลเจ้านี้ ทั้งที่โลเคชั่นออกจะไกลย่านเมืองเก่าและสถานีรถไฟไปซักหน่อย
ก็เพราะโดนใจกับความกระแดะระดับสิบตรีนถีบของมันอย่างรุนแรง แถมราคาก็ไม่แพงมาก 70 ยูโร/คืน

นี่ไงฮะ ความดัดจริตพุ่งปรี๊ดตั้งกะประตูห้องนี่เล



เปิดเข้าไป กรี๊ดดดดดด

แต่ละห้องของ Rooms Deluxe Hostel จะตกแต่งไม่ซ้ำกันเลยค่ะ บางห้องก็เป็นธีมแอฟริกา บ้างก็ธีมกราฟฟิกเท่ๆ
ส่วนห้องของเรา อิฉันขอเรียกเป็นธีม "คุณหนูไฮโซหิ้วหลุยส์เก๊" เจ้าค่ะ กร๊ากกกก



ก็ดูโคมระย้านี่สิฮะ ดูไกลๆก็สวยดี แต่พอดูใกล้ๆแล้วจะเห็นว่ามันกระโหลกกะลามาก //ฮ่าฮ่าฮ่า
กระจกอันเขื่องนี่ก็คงเป็นของมือสอง ถาดเงินบนโต๊ะเครื่องแป้งนี่ก็อีก Made in Thailand มากๆ หุหุ
แต่พวกเรากลับชอบนะ ขอบอก เพราะเข้าใจหาของถูกๆมายำรวมกันให้ห้องดูเก๋ขึ้นมาได้ ฝีมือล้วนๆอ่ะ //แพลบๆ

เพื่อนมอบอก "มิน่า แต่ละห้องถึงต้องแต่งไม่เหมือนกัน เพราะมันคงหาซื้อของเก่าสวยๆแนวๆได้อย่างละอันเท่านั้น" //ฮ่าฮ่าฮ่า



จริงๆพวกเราแอบแป่วเล็กน้อย เพราะนึกว่าจะได้ห้องที่แนวกว่านี้ หุหุ
(หรือเค้าเห็นเราเป็นอีป้าวะเนี่ย ถึงให้ห้องสไตล์คุณน๊ายคุณนายมาให้ -_-)
ใครอยากดูว่าห้องอื่นๆหน้าตาเป็นไง เชิญได้ที่เว็บของโฮสเตลโลดค่ะ : http://www.roomsdeluxe.com/



อิ่มอกอิ่มใจกับห้องพักแล้ว ได้เวลาไปอิ่มพุงกันที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่อยู่ติดกับโรงแรมเนี่ยแหล่ะ
จริงๆมีร้านอาหารสเปนด้วย แต่กินสเปนมาหลายมื้อแล้ว ขอกินพี่เลี่ยนแก้เลี่ยนนิดนึง //แพลบๆ

จขกท.สั่ง Penne pasta กับครีมซอสแซลมอน รสชาติก็พอแหลกล่ายอยู่



ตอนนั่งรถไฟ เพื่อนมอบ่นอยากกินโกยซีหมี่ เลยได้มาเจอพาสต้าเห็ดจานนี้ ที่ต้มเส้นซะนิ่มยังกะกินหมี่ราดหน้าเลย เอิ๊ก

กินกันอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็คลานขึ้นไปนอนพักผ่อน เตรียมตัวลุยบาเลนเซียในวันรุ่งขึ้นกัน



เอ้กอี๊เอ้กเอ้กกกกกก เช้าแล้วจ้า //นกดื่มชา

จขกท.ตื่นนอนตอน 7 โมงฝ่าๆด้วยความลั่ลล๊าดีใจ หื่นอยากเที่ยวจัด
หันไปสะกิดๆเพื่อนมอให้ตื่นได้แล้ว เพื่อนมอหันมางึมงำๆว่า "แก...เมื่อคืนชั้นต้องทนฟังแกบรรเลง
ปี่พากย์มโหรีเต็มสองรูหูจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยเนี่ย แกไปคนเดียวเหอะ ขอชั้นงีบก่อน คร่อก"

ด้วยเหตุฉะนี้ อิฉันเลยได้ไปฉายเดี่ยวเดินเล่นถ่ายรูปที่ Ciutat de les Arts i les Ciencies
หรือที่แปลเป็นภาษาปะกิตได้ว่า The City of Art and Sciences ซึ่งอยู่ใกล้ๆโฮสเตลของเรานี่เอง



ที่เห็นหน้าตาเหมือนหัวปลา (หรือหมวกกันน็อคหว่า) เนี่ย Opera House นะเคอะ!



เปรี้ยวปาดขาดใจดีไหมล่ะฮะพี่น้อง >_<



ส่วน 2 ตึกตรงอีกฝั่งสะพานนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของ The City of Art and Sciences เช่นกัน



นี่ใต้สะพานรูปข้างบนค่ะ ช่างเท่เกินห้ามใจเจงๆ



The City of Art and Sciences (ขอเรียกสั้นๆว่า CAS ละกัน) เป็น 1 ใน 2 เหตุผลที่ทำให้พวกเราถ่อมาบาเลนเซีย
เพราะติดใจในความเก๋ไก๋ได้โล่ห์ของอาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเกือบทั้งหมดออกแบบโดย Santiago Calatrava
Starchitech (Star + Architect //แพลบๆ) ชาวบาเลนเซียนี่เอง

งานของเฮีย Calatrava นี่มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษมากค่ะ เห็นแล้วเป็นต้องร้องอ๋อ
ด้วยหน้าตาอันสุดจะ Futuristic โครงสร้างที่เหมือนกระดูก แล้วก็รูปทรงที่แปลกประหลาดพิศดารของตัวอาคาร
อย่าง Opera House กับ Hemisferic ที่เห็นอยู่ในรูปนี่ ก็เป็นผลงานของ Calatrava เช่นกันค่ะ



Calatrava เคยเป็นนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์อยู่พักนึง ก่อนจะเบนเข็มมาเรียนสถาปัตย์
แกเลยรักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ทุกอาคารที่แกออกแบบ จะเริ่มต้นจากภาพสเก็ตช์ของแก
ซึ่งบางทีก็ไม่ได้เกี่ยวกับตัวอาคารเลย เป็นรูปนกบ้างล่ะ คนเต้นรำหรือคนนอนบิดไปบิดมาบ้างล่ะ
อย่าง Hemisferic (ประมาณท้องฟ้าจำลอง) ที่เห็นอยู่นี่ ก็มาจากภาพสเก็ตช์รูปดวงตาคนของเฮียเขาล่ะ

ปล. ตอนคัดเลือกแบบสถานีรถไฟ TGV ที่เมือง Liege ประเทศเบลเยี่ยม
บริษัทสถาปนิกอื่นๆ ส่งคนมาพรีเซ็นต์เป็นกองทัพ แถมทำโมเดลคอมพิวเตอร์สารพัดให้คณะกรรมการดู
ส่วนเฮีย Calatrava อย่างแมน ฉายเดี่ยว โมเดลก็ไม่มี มีแต่กระดาษกับพู่กัน แต่เฮียชนะได้โปรเจ็คต์ไปหน้าตาเฉย ตึ่งโป๊ะ!



อันนี้ด้านข้างของ Hemisferic ค่ะ ประตูกั้นทำเป็นรูปปีก น่าร๊ากกกกก //รักคุณ
น่าเสียดายที่เขากั้นไม่ให้เข้าไปถ่ายรูปอาคารใกล้ๆ เซ็งเรย -_-



ส่วนที่เห็นอยู่นี่ก็ Science Museum ผลงานของ Calatrava อีกแล้วครับท่าน (แต่ทำไมไม่มีน้ำในสระง่ะ แง๊ //ขี้แง)



โอว์ เท่จริงๆให้ดิ้นตาย >_<



ยังไม่จบค่ะ ยังมีอีก!



Calatrava แกโด่งดังเรื่องการออกแบบสะพานมากค่ะ เพราะสะพานของเฮียจะหน้าตาพิลึกพิลั่น
ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เรียนจบ ป.เอกวิศวโยธามา (คนหรือเปล่าวะเนี่ย)



ส่วนที่ยังก่อสร้างกันโป๊งเป๊งๆเนี่ย อะไรก็ไม่ทราบ ขออภัยล่วย -_-



จากสะพาน มองกลับมายัง CAS



ขนาดเสาตรงทางเดินยังไม่ธรรมดา



ดูเผินๆเหมือนกิ่งไม้เลยนะเนี่ย



ปิดท้ายด้วย L'Umbracle ซึ่งคล้ายๆกับเป็นกรีนเฮาส์อ่ะค่ะ



อันนี้ก็ด้านใน L'Umbracle ค่ะ

จขกท.เดินเล่นอยู่ใน CAS ได้ชั่วโมงฝ่าๆ ก็รีบตะเกียกตะกายกลับโรงแรมก่อนเพื่อนมอจะ(โมโห)หิว
พอเปิดประตูห้องพักพรวดเข้าไป ปรากฎตอนออกไปยังไง กลับมาห้องก็ยังอยู่อย่างงั้น
ไม่ได้มีการขยับตัวจากเพื่อนมอซึ่งยังนอนหลับตาพริ้มเป็นดักแด้อยู่บนเตียงทั้งสิ้น กั่กๆ



อิฉันเลยลากเพื่อนมอให้ไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนนั่งรถเมล์มายังย่านเมืองเก่า
ซึ่งรถเมล์ก็มาแปะเราสองคนไว้ที่ Placa de L'Ajuntament



ส่วนนี่ก็ไปรษณีย์ค่ะ อะจ๊ากกกก ช่างอลังน้องๆไปรษณีย์ที่มาดริดเลย



หลังจากดูศิลปะสไตล์อิสลามกันจนอิ่มเอมอ้วกแล้ว
พอมาเจออาร์ตนูโวน่ารักๆของบาเลนเซียเข้า เราสองคนเลยตื่นเต้นเป็นบ้านนอกเข้ากรุงก็ไม่ปาน



แต่ก่อนอื่น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ขอแวะหม่ำข้าวเช้าที่ร้าน Moema นี่ก่อนเหอะ



ขอ Cafe con Leche มากลั้วคอสักถ้วย //แพลบๆ



เพื่อนมอฟาดเค้กกล้วยหอมที่เห็นอยู่นี่ ส่วน จขกท.ก็ซัดมัฟฟินเข้าไป 1 ก้อนท้วมๆ
ออกมาขนมดันอร่อยเกินคาดเจ้าค่ะ ทั้งที่เราเดินเข้าร้านนี้ไปอย่างมั่วๆนะเนี่ย (ความหิวนำพา)



โฮ่ ที่แท้เคล็ดลับของความอร่อยอยู่นี่เอง เจ๊เจ้าของร้านยืนทำขนมกันสดๆกันตรงนี้เลย >_<



หม่ำเสร็จแล้ว เดินชมเมืองต่อได้ //แพลบๆ
ที่เห็นนี่ธนาคารนะเคอะ! น่ารักคิขุซะไม่มี



แต่ของจริงอยู่นี่เลยฮ่ะ Museu Nacional de Ceramica หรือเซรามิกมิวเซียมนั่นเอง



ทีเด็ดของมิวเซียมอยู่ตรงประตูทางเข้านี่เอง
ช่างทำออกมาได้บาโร้กสุดลิ่มทิ่มประตูมากๆอ่า



จินตนาการบรรเจิดมากมาย



มากจนขนาดที่เล่นเอาคุณสถาปนิก Hipolito Rovira เสียสติจนคลั่งตาย
หลังจากสร้างอาคารหลังนี้เสร็จได้ไม่นาน เหวออออ >_<

น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาแวะเข้าไปดูข้างในมิวเซียมเลยค่ะ



จากนั้นเราก็เดินต่อมายัง Placa de Santa Catalina ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมิวเซียมนี่เอง
เห็นหอระฆังของโบสถ์ Santa Catalina เด่นเป็นสง่าเลยเชียว



ทว่างวดนี้ เราไม่ได้จะพาเพื่อนๆทัวร์วัดกันหรอกนะฮะ แต่เราจะมาชิมอีกหนึ่งรายการอาหารห้ามพลาด
ยามมาเยือนบาเลนเซีย นั่นคือ Horchata (หรือ Orxata) ซึ่งก็คือ Tigernut milk น่ะเอง
งงล่ะสิ อ่ะโด่ พวกเราก็โนไอเดียเหมียนกันแหล่ะค่า //ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงได้ต้องมาชิมให้หายข้องใจไงฮะ

และตามฟอร์ม จะต้องมีร้านขาย Horchata สุดคลาสสิคสองร้านตั้งประจันหน้ากันให้เราลำบากใจเล่น
มุมแดง - Horchateria de Santa Catalina



มุมน้ำเงิน - Horchateria El Siglo
เนื่องจากบทความที่อิฉันไปอ่านเจอ เขาแนะนำร้านนี้ เราเลยได้ไปนั่งจุ้มปุ๊กที่ร้าน El Siglo กัน



ออกมาหน้าตายังกะน้ำเต้าหู้เลยแฮะ -_-
ไม่ใช่เหมือนแค่หน้าตา รสชาติยังคล้ายน้ำเต้าหู้เย็นๆผสมอัลมอนด์ กินแล้วชื่นจายนะคะ //แพลบๆ



ได้ Horchata กระแทกคอแล้ว เราก็ไปต่อที่วิหารประจำเมืองบาเลนเซียซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน



ประตูทางเข้าโค้งได้ใจสุดๆ



แต่ปรากฎข้างในมีพิธี คนพรึมเลย -_- และเนื่องจากเราสองคนเพิ่งได้ไปเที่ยว
อัครมหาวิหารที่โทเลโด้ กับเซบีญ่ามาหมาดๆ เจอคนเยอะแบบนี้ ขอบายดีก่า 

ปล. แต่แหม แอบอยากดูจอกศักดิ์สิทธิ์นะเนี่ย - ไม่ได้ล้อเล่น The Holy Grail ขนานแท้และดั้งเดิม
เวอร์ชั่นวาติกันประทับตรารับรอง (!) ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ในวิหารบาเลนเซียเนี่ยแหล่ะค่ะโยม
ปล2. กรุณาอย่าถามว่าวาติกันรู้ได้ไงว่าของแท้ เพราะ จขกท.ก็สงสัยเหมือนกัน -_-



ไม่ใช่แค่ในวิหารที่คนเพียบ พลาซ่าด้านหลังวิหารก็คึกคักน่าดู



อุ๊ย อะไรอ่ะ แบบนี้ต้องตามไปดู //แพลบๆ



ตุ้งแช่! ตุ้งแช่! (นั่นมันเชิดสิงโตแล้ว! >_<)



อ้าว สิงโตบาเลนเซียอยู่นั่นไง กร๊ากกกกก



เหมือนกับพี่สิงโตกับก้อนอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ตรงกลาง กำลังเล่านิทานให้เด็กๆที่ยืนล้อมวงฟัง
เห็นหน่วยก้านแบบนี้ ขอเดาว่าน่าจะเป็นแนวนิทานรักษ์โลกกระมังฮ



เล่าไปตีกลองไปสักพัก พี่ท่านก็จะเคลื่อนขบวนต่อ
อ้าว อย่าปล่อยให้อยากแล้วก็จากไปอย่างนี่สิพี่ //ฮ่าฮ่าฮ่า



ไม่รู้วันนั้นมีงานอะไรหรือเปล่า เพราะมีสาวๆแต่งชุดประจำแคว้นเดินร่อนไปมาด้วยอ่ะ



โดนพาเหรดชิ่งใส่ เราเลยกลับมายังพลาซ่าด้านหลัง Cathedral อีกรอบ



ไหนลองเดินเข้าไปในตรอก Cavallers ที่เห็นนั่นดูซิ



ในตรอกร้านอาหารอย่างตรึมค่ะ แต่เผอิญเราไปวันอาทิตย์
ร้านส่วนมากเลยปิดทำการ เลยเงียบผีหลอกตลอดซอยเลย



"ใช่สิยะแม่คุณ วันอาทิตย์ก็ต้องไปโบสถ์สิ ดูยายเป็นตัวอย่างซะก่อน!"



เอ่อ...ลางเนื้อชอบลางยา คุณยายก็เข้าโบสถ์ไปเถอะค่ะ ส่วนเราขอตัวไปลั่ลล๊าที่ La Llotja กันดีกว่า

La Llotja ก็คือตลาดแลกเปลี่ยนขายซื้อผ้าไหมใน คศ.ที่ 16 และยังว่ากันว่าเป็นอาคารพลเรือนสไตล์โกธิ
ที่สวยงามที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเลยด้วย ขนาดที่ UNESCO ยังต้องขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก



เพดานก็สวยแบบไม่เวอร์เกินไปดีนะคะ แต่เสาที่ทำเป็นเกลียวขึ้นไปเนี่ย ได้ใจมั่กๆอ่า



จุดเด่นอีกอย่างของ La Llotja อยู่ที่ gargoyles ซึ่งใช้เป็นที่ระบายน้ำจากหลังคา
ปกติเขาจะทำ gargoyles ให้เป็นรูปตัวประหลาด คงประมาณว่าเป็นการขับไล่ของเสียออกจากตัวตึก
แต่ที่ La Llotja นอกจากจะแปลกแล้วยังติดเรทอีกด้วย! น่าเสียดาย (?) ที่เราสองคนพยายามส่องแล้ว
แต่หาอันที่ลีลาเหลือใจไม่ค่อยได้เลย เอาคุณเจ๊คนนี้ไปดูแก้ขัดก่อนละกัน //แพลบๆ



ตรงข้าม La Llotja เป็นตลาดหน้าตากิ๊บเก๋ไม่เบา แต่เราไม่ได้เข้าพราะมันปิดวันอาทิตย์ (อีกแระ)



เสร็จจาก La Llotja เราก็ตะกายขึ้นรถเมล์เพื่อมุ่งหน้าสู่อีกหนึ่งโปรแกรมห้ามพลาดประจำทริปบาเลนเซีย
แต่นแต๊น นี่แหล่ะฮ่ะ La Rosa เป้าหมายของเรา 



เห็นสภาพแล้วคงไม่ต้องเดาใช่ไหมฮะว่ามันคือร้านอาหาร //แพลบๆ

มาถึงบาเลนเซียต้นตำรับปาเอญ่า (ข้าวผัดสเปน) ทั้งที มีหรือที่เราจะพลาดการกินปาเอญ่าสุดอร่อยไปได้
และร้าน La Rosa เนี่ย ก็ขึ้นชื่อเรื่องปาเอญ่าด้วยค่ะ แต่จริงๆแล้ว เขาว่าจะให้อร่อยสุดๆ
ต้องถ่อออกไปกินตามหมู่บ้านชาวนานอกๆเมืองบาเลนเซียโน่น แต่เวลาเราไม่มี กินอันที่พอไปได้ก็แล้วกัน



เพื่อนมอสั่ง Heart of palm โปะไข่หอยเม่น พร้อมกับ Endive มาเบิกโรง คุณเพื่อนหม่ำจานนี้อย่างเริงร่าสุดๆ 
แต่เผอิญ จขกท.ไม่ใช่แฟนหอยเม่น บวกกับ Endive ยังรสชาติขมๆอีก เลยบ่ค่อยปลื้มเลยง่ะ -_-



แต่ไม่เป็นไรค่ะ อิฉันขอล้างปากด้วยปาเอญ่าทะเลละกัน กระทะใหญ่มากกกกกก >_<



ถึงกระทะจะใหญ่ แต่ไม่ต้องกลัว เพราะเขาใส่ข้าวตื้นมากเลยค่ะ เอาช้องจึ้กไปก็ถึงก้นกระทะแล้ว

เพื่อนมอเคยว่าปาเอญ่านั้นก็เหมือนผัดไทยของชาวสเปนอ่ะค่ะ เพราะเป็นเมนูที่โดนปู้ยี่ปู้ยำมากที่สุดแล้ว //ฮ่าฮ่าฮ่า
ที่เคยกินมา มีทั้งเวอร์ชั่นข้าวแฉะ ข้าวกรุบๆ แถมที่เมกาเนี่ยเขาจะโปะสารพัดผักเข้ามาด้วย
ตอนสั่ง พวกเราก็ใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะออกมาเป็นยังไงหนอ ถ้าไม่อร่อยจะเซ็งเป็ดไหมเนี่ย



ออกมารสชาติอร่อยมากกกกกก ข้าวกรุบๆกำลังดี รสชาติก็กลมกล่อมสุดๆ แถมด้วยกุ้งปลาหมึกสดๆอีก
เล่นเอาเราสองคนแทบลงไปนอนกลิ้งๆกลางร้าน โอย สวรรค์แต๊ๆ >_<

ตอนแรกอิฉันก็ลังเลที่จะสั่งปาเอญ่าซีฟู้ด เพราะเห็นบทความหลายเจ้าเค้าว่า ปาเอญ่าซีฟู้ดจะคาวๆ
ให้สั่ง Paella Valenciana (ไก่+น้องต่าย) แทน แต่เพื่อนมอบอก สั่งซีฟู้ดเหอะ มันจะคาวกันแค่ไหนเชียว
ให้มันรู้กันไปว่า สาวไทยที่กินน้ำปลาพริกตั้งแต่เด็กอย่างพวกเราจะกินไม่ได้น่ะ กร๊ากกกกกก



งานนี้เป็นไปตามความคาดหมายของเพื่อนมอค่ะ เพราะเราฟาดปาเอญ่าไปจนเกลี้ยงจานเลย (ลูบพุง 1 ที)

ปล.ราคาปาเอญ่าบนเมนูของร้านนี้ เป็นราคาต่อคนนะฮะ ไม่ใช่ต่อกระทะ เราเลยอึ้งไปเล็กน้อยตอนคิดตังค์ -_-



กินกันอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็ย้ายพุงไปเดินเล่นบนถนน Neptuno ที่อยู่หน้าร้านกัน
ที่เห็นๆอยู่นี่ ร้านอาหารทั้งแถบเลยค่ะ มี El Pepica ร้านปาเอญ่าสุดดัง การันตีโดยแม่ช้อย เฮมมิงเวย์ อยู่ด้วย



ส่วนอีกฝั่งก็ติด ~ทะเล~ โอ้ น้ำสีฟ้าสะใจดีจริง
น่าเสียดายเวลาไม่มี และชุดไม่พร้อม ไม่งั้นคงได้ไปนอนกลิ้งๆริมหาดแล้ว



เดินทางกลับไปเที่ยว The City of Art and Sciences ของเฮีย Calatrava ดีกว่า
ตอนเดินไปป้ายรถเมล์ เราก็ผ่านสถานีตำรวจสุดคิขุกาโม่นี่เข้าให้ค่ะ (แบบนี้โจรที่ไหนจะกลัววะเนี่ย ฮา)



นี่อะไรก็ไม่ทราบของทีม Luna Rossa ทีมจากอิตาลีที่ลงแข่ง America's Cup เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
America's Cup เป็นรายการแข่งเรือใบที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลกค่ะ (รายการนี้มาก่อนโอลิมปิคตั้ง 45 ปีแน่ะ)
และการที่ America's Cup มาจัดที่บาเลนเซียเนี่ย ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ America's Cup มาแข่งที่ยุโรปเลยนะเอ้อ



กลับมายัง The City of Art and Sciences ซะที



ตอนเช้าว่าสวยแล้ว ตอนบ่ายๆ มีคนเดินไปเดินมาก็สวยไปอีกแบบนะฮะ



ได้ถ่ายรูป Science Museum กันชัดๆอีกด้วย
แต่เสียดายจัง ที่เขาไม่ให้เดินขึ้นไปสะพานในรูป -_-



ส่วนเพื่อนมอก็ไปสะดุดกับรักใหม่ของเธอเข้าค่ะ
Horchataaaaaaaaaaaaa



โอ้ เจ้า Tigernut (Chufa) ที่ว่ามันหน้าตาเป็นแบบนี้เองหรอกเหรอ



เพื่อนอิฉันเธอเป็นปลื้มกับเจ้า Horchata นี่มาก
ขนาดที่ว่าวันหลังๆ เธอจะเดินไปร้องโหยหวนหา Horchata ไปด้วย กร๊ากกกก
(ในขณะที่ จขกท.ก็งอแงจะกินไอติมตลอดเวลา เจริญจริงๆเราสองคน -*-)



เราตัดสินใจว่าจะไปเที่ยว Oceanografico หรืออควาเรี่ยมของ CAS ที่ออกแบบโดย Felix Candela ซะหน่อย
แต่ปรากฎเราดูเวลาผิดค่ะ เพราะวันอาทิตย์เขาปิดเร็ว เราไปถึงตอนอีก 1 ชั่วโมงจะปิดทำการ
แถมค่าเข้าชมยังมหาโหด ตั้ง 24 ยูโรแน่ะ เราเลยต้องเดินคอตกออกมาด้วยความผิดหวัง //ขี้แง



แง๊ หนูจะเข้าไปเยี่ยมญาติ จาปายเยี่ยมญาติติติติติติติติติติติ



อกหักจาก Oceanografico เราเลยเบนเข็มไป Hemisferic แต่แม่เจ้า คนต่อคิวทะลักมาถึงข้างนอก
เด็กขี้เกียจสันหลังยาวอย่างพวกเรา เลยขอหนีไปเดินเล่นตรงสวนสาธารณะ Jardines de Turia แทน



ของเล่นเยอะผิดคาดแฮะสวนนี้

แต่เดิมที่ตรง Jardines de Turia เป็นแม่น้ำ Turia ค่ะ แต่หลังจากที่น้ำในแม่น้ำท่วมทะลักจนมีคนตายในปี 1957
ทางเทศบาลเลยจัดการขุดคลองให้น้ำไปลงทางอื่น แล้วก็แปลงสภาพให้มันกลายเป็นสวนสาธารณะไปเสีย



แดดร่มลมตกแล้ว คนออกมาเดินเล่นในสวนกันใหญ่

อีกอย่างที่อิฉันตะลึงอึ้งกิมกี่มากที่สเปนก็คือ คนส่วนมากเขาไม่จูงหมากันค่ะ!
แถมน้องหมาก็ยังแสนรู้ เดินตามเจ้านายต้อยๆ บางตัวเดินเห็นเดินลิ่วๆนำหน้าเจ้านายไป
ก็ยังอุตส่าห์หันกลับมาดูด้วยว่านายเดินมาตามรึเปล่าด้วยแน่ะ! ฉลาดเจงๆ เลี้ยงด้วยอะไรวะเนี่ย >_<



ส่วนนี่ก็ค้างคาว สัญลักษณ์ของเมือง (และทีมฟุตบอล) บาเลนเซียเจ้าค่ะ



เอ๋ ทำไมสนามเด็กเล่นหน้าตาพิศดารยังงี้ล่ะเนี่ย



ปรากฎเขาทำสนามเด็กเล่นเป็นธีม Gulliver ให้เด็กๆได้ปีนป่ายเล่นเจ้าค่ะ! คิดได้ไงเนี่ย อิฉันขอนับถือเลย
(กัลลิเวอร์เป็นนิยายคลาสสิค ในเรื่องยอดชายนายกัลลิเวอร์โดนคลื่นซัดไปเกยตื้นบนเกาะประหลาดที่คนตัวเท่าไม้ขีด)



หลังจากนั้นเราก็กลับไปนอนกลิ้งๆที่โรงแรมสักพัก ก่อนจะออกมาหาข้าวกินในตัวเมืองกันตอนหัวค่ำ



แต่จู่ๆฝนก็เทลงมา เราเลยได้เข้าไปหลบฝนในร้านกาแฟ ขออภัยจำชื่อบ่ได้แล้ว
แต่เห็นสาขาเกลื่อนทั่วเมืองบาเลนเซีย อารมณ์คงจะคล้ายๆ Black Canyon บ้านเรามั๊งฮะ เพราะขายอาหารด้วย
เราเลยได้กินพิซซ่าหน้าตาแปลก (รสชาติก็แปลก -_-) จานนี้ส่งท้ายบาเลนเซียซะให้



กินเสร็จฝนหยุดตกพอดี แต่เรารีบชิ่งกลับโรงแรมซะก่อน
เพราะวันรุ่งขึ้น เราต้องตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟไปบาร์เซโลน่าตอน 6:40am!! >_<
ทัวร์บาเลนเซียแบบขำๆจบแล้วค่ะ ตอนต่อไปนี่ของจริง เที่ยวจริง เจี่ยะจริง ที่บาร์เซโลน่านะขอรับ โปรดติดตาม //นกดื่มชา
http://chortravel.livejournal.com/9642.html

คำสำคัญ (Tags): #art
หมายเลขบันทึก: 500036เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2012 11:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 สิงหาคม 2012 11:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท