กระบวนการของวงจรหลักวิกฤติเศรษฐกิจที่พิจารณาตามสภาวะของอดีต (เหตุ) ปัจจุบัน (ผลและเหตุ) และอนาคต (ผล) เป็นไปในลักษณะของการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันไปตลอดทั้งสายไล่เรียงจาก อดีตเหตุ (กิเลสและกรรม) ไปสู่ ปัจจุบันผล (วิบาก) ไปสู่ ปัจจุบันเหตุ (กิเลสและกรรม) ไปสู่ อนาคตผล (วิบาก) ไปสู่ อดีตเหตุ (กิเลสและกรรม) ไปสู่ ปัจจุบันผล (วิบาก) ไปสู่ ปัจจุบันเหตุ (กิเลสและกรรม) ไปสู่ อนาคตผล (วิบาก) ... หมุนเวียนสืบเนื่องเป็น “วัฏฏะ” ในกระแสสายธารของกระบวนการกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างนี้เรื่อยไป นัยคือ วิบาก (วิกฤติเศรษฐกิจ : ล้มละลายและตกงาน) มิใช่เบื้องปลายท้ายสุด หากแต่เป็นเพียงกระบวนการปรับดุลยภาพใหม่ในทางเศรษฐกิจ (เกี่ยวเนื่องจาก วิกฤติเศรษฐกิจก็คือการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจ) และการล้มละลายและการตกงานนั้นก็จะเป็นแรงบังคับ บีบคั้นให้สร้างความต้องการ (กิเลส) ซึ่งความต้องการก็เป็นแรงขับให้เกิดการสนองตอบ (กรรม) ... หมุนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่กล่าวไว้ว่า “ไม่มีเบื้องแรก ไม่มีเบื้องสุดท้าย” เหตุปัจจัยทั้งหลายล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงอาศัยซึ่งกันและกันในกระแสสายธารของกระบวนการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
หรือ แสดงได้ด้วยภาพการเชื่อมต่อระหว่างเหตุกับผลและผลกับเหตุ เรียกว่า “สนธิ”
ภาพ ๖ กระแสสายธารของการดำเนินไปในวงจรหลักวิกฤติเศรษฐกิจ (การสนธิ)
จากภาพ เป็นการแสดงถึงความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงของกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยในวงจรเศรษฐกิจที่ดำเนินต่อเนื่องไปอย่างไม่ขาดสาย เป็นไปในลักษณะของการเชื่อมต่อระหว่างเหตุกับผล และผลกับเหตุ
จากภาพ จุดเชื่อมต่อระหว่างเหตุกับผล และผลกับเหตุ เรียกว่า “สนธิ” มี ๓ คือ
- สนธิที่ ๑ = เหตุผลสนธิ = กิเลส ไปสู่ กรรม ไปสู่ วิบาก
- สนธิที่ ๒ = ผลเหตุสนธิ = วิบาก ไปสู่ กิเลส ไปสู่ กรรม
- สนธิที่ ๓ = เหตุผลสนธิ = กรรม ไปสู่ วิบาก ไปสู่ กิเลส
สนธิที่ ๑ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเหตุกับผล ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการเชื่อมโยงของฝ่ายกิเลส (ความต้องการ + การสะสมความมั่งคั่ง) ไปสู่ กรรม (การสนองตอบ + การเก็งกำไร) ไปสู่ วิบาก (วิกฤติเศรษฐกิจ : ล้มละลายและตกงาน)
สนธิที่ ๒ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างผลกับเหตุ ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงจากสนธิที่ ๑ ของฝ่าย วิบาก (วิกฤติเศรษฐกิจ : ล้มละลายและตกงาน) ไปสู่ กิเลส (การสะสมความมั่งคั่ง + ความต้องการ) ไปสู่ กรรม (การเก็งกำไร + การสนองตอบ)
สนธิที่ ๓ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเหตุกับผล ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงจากสนธิที่ ๒ ของฝ่าย กรรม (การเก็งกำไร + การสนองตอบ) ไปสู่ วิบาก (วิกฤติเศรษฐกิจ : ล้มละลายและตกงาน) ไปสู่ กิเลส (ความต้องการ + การสะสมความมั่งคั่ง)
กระบวนการของวงจรหลักวิกฤติเศรษฐกิจที่พิจารณาตามสภาวะของการเชื่อมต่อระหว่างเหตุกับผลและผลกับเหตุ ที่เรียกว่า “สนธิ” นั้น ก็จะเป็นไปในลักษณะของการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันไปตลอดทั้งสายไล่เรียงจาก เหตุผลสนธิ ๑ (กิเลส – กรรม – วิบาก) ไปสู่ ผลเหตุสนธิ ๒ (วิบาก – กิเลส – กรรม) ไปสู่ เหตุผลสนธิ ๓ (กรรม – วิบาก – กิเลส) ไปสู่ เหตุผลสนธิ ๑ (กิเลส – กรรม – วิบาก) ... หมุนเวียนสืบเนื่องไปเป็น “วัฏฏะ” ในกระแสสายธารของกระบวนการกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างนี้เรื่อยไป นัยคือ วิบาก (วิกฤติเศรษฐกิจ : ล้มละลายและตกงาน) มิใช่เบื้องปลายท้ายสุด หากแต่เป็นเพียงกระบวนการปรับดุลยภาพใหม่ในทางเศรษฐกิจ (เกี่ยวเนื่องจาก วิกฤติเศรษฐกิจก็คือการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจ) และการล้มละลายและการตกงานนั้นก็จะเป็นแรงบังคับ บีบคั้นให้สร้างความต้องการ (กิเลส) ซึ่งความต้องการก็เป็นแรงขับให้เกิดการสนองตอบ (กรรม) ... หมุนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่กล่าวไว้ว่า “ไม่มีเบื้องแรก ไม่มีเบื้องสุดท้าย” เหตุปัจจัยทั้งหลายล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงอาศัยซึ่งกันและกันในกระแสสายธารของกระบวนการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
สรุป
วงจรหลักวิกฤติเศรษฐกิจ (อิทัปปัจจยตาแห่งเศรษฐกิจ) เป็นกระบวนการในฐานะที่เป็นวัฏฏะ หรือวงจร ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย นัยคือ ไม่มีความสิ้นสุดลงตรงไหนอย่างแท้จริง เกี่ยวเนื่องจาก องค์ประกอบช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ (ธุรกิจล้มละลายและการตกงาน) กลับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกประการอย่างยิ่งยวดที่ บังคับ บีบคั้นผลักดันให้วงจรขับเคลื่อนหมุนเวียนต่อไป กล่าวคือ ธุรกิจล้มละลายและการตกงาน เป็นภาวะอาการที่แสดงออกมาทางวิบาก (ผล) ของการที่มีกิเลสเป็นหัวเชื้อตกผลึกอยู่ภายในจิตใจ ที่น้อมนำไปสู่การยึดติดถือมั่นในตัวเราของเรา (ตัวกู - ของกู) เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจนำพามาซึ่งการล้มละลายและการตกงาน กิเลสที่ฝังแน่นตกผลึกอยู่ภายในจิตใจก็จะบังคับ บีบคั้นให้กระหายและทะยานอยากได้ อยากมีเหมือนเดิม หรือเข้าทำนองที่ว่า “จมไม่ลง” เกี่ยวเนื่องจากการเสพติดที่หลงยึดติดถือมั่นในธุรกิจของเรา รถยนต์โก้หรูของเรา บ้านหลังใหญ่โตของเรา ตำแหน่งหน้าที่การงานของเรา เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นกับดักแห่งกิเลส เมื่อภาวะบีบคั้น บังคับที่ได้รับจากแรงขับเคลื่อนของกิเลสดังกล่าว ก็จะเป็นเชื้อเพลิงให้กระโจนทะยานเข้าสู่กระบวนการแห่งวิกฤติเศรษฐกิจต่อไปอีก (ความต้องการ ไปสู่ การสนองตอบ ไปสู่ ราคา (เทียบสัมพัทธ์) ไปสู่ การแลกเปลี่ยน ไปสู่ เงิน ไปสู่ การสะสมความมั่งคั่ง ไปสู่ การเก็งกำไร ไปสู่ วิกฤติเศรษฐกิจ (การล้มละลายและการตกงาน) )... หมุนเวียนเป็นวัฏฏะ ขึ้นอยู่กับว่ากระบวนการไหนที่จะเด่นชัดเจนขึ้นมาในสภาวการณ์นั้น ๆ ซึ่งก็จะเป็นกระแสสายธารหมุนเวียนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันไปตลอดทั้งสาย เป็นไปในลักษณะของวัฏฏะ หรือวงจรที่ ไม่มีเบื้องแรกและเบื้องปลาย หาความสิ้นสุดไม่ได้อย่างแท้จริง
บรรณานุกรม
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (๒๕๔๔). เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (พิมพ์ครั้งที่ ๙). กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (๒๕๕๑). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ ๑๑). กรุงเทพมหานคร : บจก.เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (๒๕๕๒). พุทธธรรม (ฉบับปรับปรุงและขยายความ : พิมพ์ครั้งที่ ๑๑). กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล). (๒๕๕๑). ปฏิจจสมุปบาท สำหรับคนรุ่นใหม่ (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บ้านหนังสือโกสินทร์.
พุทธทาสภิกขุ. (๒๕๔๖). ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ.
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. (๒๕๔๕). เศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการณ์ปี ๒๕๔๐. กรุงเทพมหานคร : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.
อภิชา ที่รักษ์. ๒๕๕๑. ทางรอดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ดอกหญ้าวิชาการ.
อภิชา ที่รักษ์. ๒๕๕๕. เศรษฐธรรม หลักปฏิบัติเพื่อความสุขและความมั่งคั่งที่ยั่งยืน. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ธิงค์ บียอนด์ ธรรมะ.
อภิชัย พันธเสน. (๒๕๔๔). พุทธเศรษฐศาสตร์: วิวัฒนาการ ทฤษฎี และการประยุกต์กับ เศรษฐศาสตร์สาขาต่าง ๆ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์อมรินทร์.
********************************************************************************************************
ไม่มีความเห็น