บทบรรณาธิการในวารสาร Science ฉบับวันที่ ๒๙ มิ.ย. ๕๕ เรื่อง Science Friction เขียนโดย Maire Geoghegan-Quinn ผู้มีตำแหน่งเป็น European Commissioner forResearch, Innovation and Science ทำให้ผมนึกถึงหัวเรื่องของบันทึกนี้
เพราะอ่านบทความหนึ่งหน้านี้แล้วผมเกิดอาการ “ของขึ้น” คือรู้สึกว่าชีวิตมันคึกคักมีชีวิตชีวา คล้ายๆ ได้รับ “โรคติดต่อ” มาทางหน้ากระดาษหรือถ้อยคำ อ่านแล้วได้สัมผัสความคิด หรือเรื่องราวที่มีคุณค่า
คำที่ผมชอบคือ “Science is a necessity, not a luxury.” ยุคนี้เป็นยุคแห่งความยากลำบากของยุโรป เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ประเทศที่ลงทุนด้านการวิจัยมาก ทนต่อวิกฤตเศรษฐกิจได้ดีกว่า บริษัทที่มีนวัตกรรมมีความยืดหยุ่นปรับตัว (resilience) ดีกว่า
ผู้เขียนบอกว่า สำหรับเขาเอง การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง โดยไม่ต้องเอ่ยถึงประโยชน์ทางธุรกิจหรือเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างงาน เพราะวิทยาศาสตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยความใคร่รู้ (curiosity-driven science) มีผลกำหนดและชี้ทิศทางการพัฒนาของมนุษย์
แต่ถึงแม้จะมีความเชื่อเช่นนี้ ก็ต้องมีการจัดการการลงทุนต่อการพัฒนาการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง และต้องสื่อสารเรื่องราวต่อสังคม
ผมชอบอ่านหนังสือ และคอยจ้องสังเกตหรือตีความคุณค่าของสิ่งต่างๆ ผ่านข้อเขียนหรือคำพูดของคนเก่งๆ นำมาตั้งเป็นข้อพิศวงว่าเขามีความรู้ความเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้อย่างไร สมัยหนุ่มๆ ผมจะตั้งคำถามกับตนเองว่าตัวเราเองจะพัฒนาตนเองให้คิดลึกหรือเชื่อมโยงในระดับนั้นได้อย่างไร จะฝึกอย่างไรจึงจะสื่อสารเรื่องราวได้ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างเขา หรือว่าทำอย่างไรจึงจะทำงานสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเขา
แต่เดี๋ยวนี้คำถามต่อตนเองเปลี่ยนไปแล้ว เพราะผมมีชีวิตช่วงวัย ๗๐ แบบผู้เกษียณอายุงาน คือไม่มีงานที่ตนเองเป็นเจ้าของ มีแต่กิจกรรมในฐานะกองเชียร์ ซึ่งก็ได้ความสุขจากประกายความกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถสูง คำถามของผมก็กลายเป็น “จะสร้างสภาพโรคติดต่อ ในกิจกรรมดีๆ เหล่านั้นได้อย่างไร” ทำอย่างไรจะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมที่มีคุณค่าต่อสังคมเช่นนั้นได้รับการสนับสนุนทรัพยากรและการสนับสนุนอื่นๆ
ประกายคุณค่า ประกายของการสร้างคุณค่า แก่สังคม ทำให้ชีวิตของผมมีความสุข และความมีชีวิตชีวา
วิจารณ์ พานิช
๒๙ มิ.ย. ๕๕
ไม่มีความเห็น