“บุญบารมีสร้างพระวิหารหลวง บูรพาจารย์ ปูเส้นทางแห่งพระรัตนตรัย”
เป็นข้อความหรือสโลแกนที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา (ส่วนตำบลแม่กา) ได้ขอเชิญร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี เพื่อหาทุนทรัพย์จำนวนหนึ่งสร้างพระวิหารหลวง 96 ปีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ในวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พุทธศักราช 2555 ซึ่งประธานฝ่ายพระสงฆ์ก็คือ พระเดชพระคุณหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ พร้อมกับพระราชวิริยาภรณ์ รองอธิการบดี เจ้าคณะจังหวัดพะเยา พระสุนทรกิตติคุณ ผู้ช่วยอธิการฝ่ายบริหาร และพระครูศรีวรพินิจ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการประสานงานกับส่วนต่างๆ ในการจัดงานในครั้งนี้ ส่วนประธานฝ่ายฆราวาสได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่งจากอดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี คือ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ลงเสาเอก พร้อมกับอาจารย์เอกไทย ปทุมวันณรัฐและหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพะเยา มีผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเป็นต้น หลังจากวางศิลาฤกษ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พิธีกรได้เรียนเชิญอดีตนายกรัฐมนตรี คือฯพณฯพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กล่าวปาฐกถาประมาณ 30 นาทีหัวข้อในการกล่าวปาฐกถาท่านได้พูดถึงชีวิตการทำงานที่ผ่านมาประมาณ 40 กว่าปีว่าได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ได้สนองงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ได้ทรงจัดทำโครงการต่าง ๆ มากมาย เป็นพัน ๆ โครงการ ในตอนหนึ่งฯพณฯ ได้กล่าวถึงความตกต่ำของประเทศ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ซี่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจน มีการแบ่งสีเสี้อต่าง ๆ ไม่ว่าสีเหลือง สีแดง ล่าสุดก็มีเสื้อหลากสีเพิ่มขึ้นมาอีก ฯพณฯ กล่าวต่อไปอีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาทั้งหมดเกิดมาจากการใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน เกิดความเหลี่ยมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษาของประชาชน กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่มีส่วนน้อยก็พยายามที่จะเอาเปรียบคนยากคนจนหรือคนรากหญ้าที่มีอยู่จำนวนมาก จึงเป็นสาเหตุของความขัดแย้งของประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาในปัจจุบันนี้ อันที่จริง ฯพณฯกล่าวว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิใช่เป็นประเด็นสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐธรรมนูญเป็นเพียงการวางกฎ กติกาของประเทศที่วางไว้ว่าการพัฒนาประเทศจะพัฒนาไปในทิศทางใดเท่านั้น สิ่งสำคัญคือวุฒิภาวะของประชาชนที่เป็นเครือข่ายของนักการเมือง และนักการเมืองทั้งสองฝ่ายที่จะต้องลดละปล่อยวางมิจฉาทิฎฐิ คือความเห็นผิดเพื่อจะนำไปสู่หนทางแห่งการปฏิบัติตามแนวทางของมรรคมีองค์ 8 ให้ได้
คำกล่าวปาฐกถาของฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธพอจะสรุปประเด็นสำคัญไว้ดังนี้ นักการเมืองทั้งสองฝ่ายพร้อมทั้งประชาชนที่เป็นเครือข่ายหรือกลุ่มผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายจะต้องลดทิฎฐิ มานะ หรือมิจฉาทิฎฐิของตนเองเพื่อนำไปสู่หนทางแห่งความสว่าง ความสมัคสมานสามัคคี และความปองดองของคนในชาติ นั้นก็คือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 คือ[1]
1.สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึง การปฏิบัติอย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
2.สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
3.สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดต้องสุภาพ แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
4.สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
5.สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น ๆ มากเกินไป
6.สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
7.สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
8.สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
ถ้านักการเมืองทั้งหมดพร้อมกับเครือข่ายหรือกลุ่มประชาชนที่สนับสนุน ได้ฉุกคิดและมีจิตสำนึกที่ดีต่อการรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ควรจะปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มรรคมีองค์ 8 คือ หนทางแห่งความดับทุกข์ แล้วประเทศจะเจริญรุ่งเรือง สงบสุข ความขัดแย้งก็จะค่อย ๆ ยุติลงอย่างแน่นอน.
มรรคมีองค์ 8 ดีจริงๆๆ ==> ใครปฎิบัติได้ ==> ความสุขกาย สุขใจ เกิดกับจัวเรานะคะ ใครทำได้ ใครปฏิบัติ ==> ถือว่าเป็น " วาสนา" ที่เกิดเป็นคน แล้วได้นำหลักไป ปฏิบัตินะคะ
ขอบคุณมากนะคะ
มรรคมีองค์ 8 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ใครปฏิบัติได้คือสุดยอดคนแล้วครับ