ความสำเร็จของหนังหลายภาคที่สร้างจากการตูนรายสัปดาห์ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ภาคต่อ The Amazing Spider-man
ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เด็กวัยรุ่นกับช่วงเวลาที่ต้องพบว่าตัวเองนั้นมีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใคร(โดยความไม่ตั้งใจ)กับความลับของพ่อและแม่ในวัยเด็ก อีกทั้งยังต้องรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดคิด อีกมากมาย
หลายครั้งในหนังเรื่องนี้ ที่ทั้งลุงเบนและป้าเมย์ ลุงและป้าแท้ๆของปีเตอร์ ได้สอนสิ่งที่มีนัยสำคัญให้ปีเตอร์ ที่กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น"theme"สำคัญของหนังเรื่องนี้
ความรับผิดชอบ(Responsibility)
ชาวอเมริกันถูกฝึกตั้งแต่เยาว์วัยว่า ทุกคนต้องรับผิดชอบในชีวิตและการตัดสินใจของตนเอง อยากได้สิ่งไหนต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เงินค่าขนมถูกให้เป็นรายเดือนตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงเด็ก(เห็นได้ตั้งแต่วัยปลายอนุบาล) ไม่แปลกใจที่จะเห็นเด็กอเมริกันงอแงเพราะอยากได้ของเล่นน้อยมาก ถ้าอยากได้แต่เงินค่าขนมที่มีไม่พอจริงๆ อาจยอมโดนหักค่าขนมเดือนหน้า แต่ก็จะหมายความว่าเดือนหน้าก็ต้องรับผิดชอบโดยการที่มีเงินน้อยลงเช่นกัน!! สิ่งเหล่านี้เป็นล้วนเป็นการฝึกให้เด็กบริหารเงิน คิดถึงเหตุผลก่อนตัดสินใจ ให้มีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง และรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมา
ใน Spider Man ภาคนี้ ดูจะมีด้านมืดของมนุษย์และบริบทที่คล้ายชีวิตจริงมาก หลายครั้งที่หนังแสดงให้เห็นถึง การขาดความรับผิดชอบของปีเตอร์(สไปเดอร์แมน) ทั้งการที่ไม่ใส่ใจต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับลุงเบนว่า จะไปรับป้าในยามดึก แม้สิ่งที่ปีเตอร์ทำจะถือว่าสำคัญและยิ่งใหญ่ต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่า แต่ก็ไม่สามารถลดโทสะของลุงเบนลงได้ เพราะถือว่า ความรับผิดชอบต่อคำสัญญาที่ให้ไว้"สำคัญที่สุด" รวมทั้งฉากสำคัญ ที่โจรได้ปล้นร้านสะดวกซื้อ และเจ้าของร้านได้ขอให้ปีเตอร์ช่วยหยุดโจรนั้น แต่สิ่งที่ปีเตอร์แสดงออก กับบอกไปอย่างธรรมดาที่สุดว่า ตัวเขาไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ พร้อมกับอยู่เฉยๆ (คาดว่า อยากจะย้อนรอยเจ้าของร้านที่ไม่ได้ให้ ความช่วยเหลือกับตัวเขาในตอนแรก)
ผลที่ตามคือสิ่งที่สะเทือนใจ โจรคนนั้นได้วิ่งหนีโดยไปเจอกับลุงเบน ที่บังเอิญอยู่แถวนั้น ลุงเบนแสดงความรับผิดชอบ(ต่อสังคม)โดย การกระโดดเข้าขวางและแน่นอน คนร้ายได้หยิบปืนยิงลุงเบนเสียชีวิต ก่อนจะหลบหนีไปได้ ปีเตอร์เชื่อว่าถ้าเขาตัดสินใจหยุดโจรคนนี้ในตอนแรก(ซึ่งทำได้แน่นอน!!) เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น
นี้อาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ ปีเตอร์ต้องเป็น สไปเดอร์แมน เพื่อตามหาคนร้าย และได้กลายเป็น ความรับผิดชอบต่อสังคมและโลกที่ตนเองต้องแบกไปตลอดชีวิต
หนังไม่ได้บอกให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องออกมารับผิดชอบต่อทุกการกระทำ แต่ได้สอนให้เรารู้ว่า ทุกๆความรับผิดชอบ ไม่ว่าเรื่องใหญ่โตหรือเล็กน้อยเพียงใดนั้น ย่อมมีผลกระทบกับคนรอบตัวเรา และหากเราเชื่อในสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกหมู่เหล่า อย่างที่ชาวอเมริกันเชื่อ
...เราต้องมีความรับผิดชอบ
P.S. ถ้า การ์ตูน"ซึบาสะ"เป็นแรงบัลดาลใจ ให้ประเทศญี่ปุ่นพัฒนา กีฬาฟุตบอลได้อย่าง ก้าวกระโดด
การ์ตูน Spider-man และการ์ตูน Super Heroหลายๆเรื่อง ก็คงเช่นเดียวกัน ที่ปลุกฝัง"จิตสำนึกความรับผิดชอบ"ให้กับเด็กๆในชาติของเขา
....แล้วประเทศไทยเราล่ะ อะไรที่เป็นแรงบัลดาลใจ สามารถปลูกฝังสิ่งดีงาม ให้กับเด็กไทยของเราได้ :)
กำลังอยากไปดูเลยครับ spiderman ภาคนี้ เห็นด้วยว่า ความบันเทิงของแต่ละชาติสะท้อนปรัชญาชีวิตของชาตินั้่นๆออกมา เราเห็นหนังอเมริกันแล้วก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า หากภาพยนต์ ทำหน้าที่ได้มากกว่าแค่ให้ความบันเทิง และผลตอบแทน/กำไรแก่ทีมผู้สร้างและนักแสดงแล้ว การสร้างภาพยนต์ครั้งนั้่นๆก็คุ้ม และน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ล่าสุดได้ดูหนังไทย เรื่อง I miss you ครับ ไปดูเพราะเพื่อนแนะนำให้ดู คิดว่าเป็นอีกเรื่องที่ดูมีความพยายามสอนอะไรคนดูชาวไทยอยู่เหมือนกัน สาระอะไรใครได้อะไรคงขึ้นกับแต่ละคนด้วย โดยส่วนตัวคิดว่าเข้าท่าที่เขาให้ตัวเอกในเรื่องมีอาชีพแพทย์ คนจะได้เห็นว่าแพทย์ก็คนธรรมดา ทำถูกได้ พลาดได้ ธรรมด๊าธรรมดา แล้วก็ชอบการตีความเรื่องการยอมรับการจากไปของผู้เป็นที่รัก ดูแล้วแอบโดนใจแพทย์...
เห็นด้วยเหมือนกัน กับเรื่อง I Miss You ครับ ดูแล้วเข้าใจ ว่าแพทย์ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ ว่าแต่ Spiderman ภาคนี้ พลาดไม่ได้นะครับ สนุกมาก :)
แล้ว Batman ภาคนี้ล่ะครับ จะไปดูหรือเปล่า?
ไปดูแน่นอนครับ ผมชอบ ผู้กำกับคนนี้ครับ ( คริสโตเฟอร์ โนแลน ) Inception, Memento, Insomnia สุดยอด..หนังหนักๆหน่อยนะครับ แบทแมนภาคก่อนหน้านี้ที่เขาทำ ผมว่าก็ดีมากๆแล้ว ภาคนี้ บทสรุปน่าจะสนุกแน่ๆครับ
คอเดียวกันเลย ผมก็ชอบ Nolan มาก ยังไม่เคยดูMementoครับ ชอบหนังใช้ความคิด แต่ภาพก็ไม่กระจอก บทภาพยนต์คมคาย ความหมายลึกต้องตีความ แบบนี้ชอบครับ แต่หนังแนวอื่นก็ดูนะ