ตาธรรมและเมียนั่งยิ้มหน้าบานที่ลูกสาวตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ติดขัด พระราชาจึงเริ่มคำถามข้อต่อไป
“คำถามข้อที่สอง ยามตะวันโผล่พ้นชายคา ค่อย...ค่อยเดินสี่ขาอย่างไหวหวั่น
เมื่อตะวันอยู่กลางยามเที่ยงวัน ก็ยืดเดินสองขาอย่างมั่นใจ
ยามตะวันจะลับขอบฟ้า ค่อย...ค่อยเดินสามขาแทบไม่ไหว
เมื่อตะวันลับฟ้าก็ดับชีวาวาย อยากรู้ว่าคืออะไรช่วยบอกที”
ดอกไม้ลูกสาวคนโตของตาเที่ยงรีบขอตอบคำถามคนแรกอีกเช่นเดิม
“หม่อมฉันขอตอบเพคะ ที่เดินสี่ขาก็คือ สัตว์สี่เท้าที่อยู่บนโลกนี้ ส่วนที่เดินสองขาตอนกลางวันก็คือสัตว์สองขาที่อยู่บนโลกนี้ ที่เดินสามขาตอนเย็น ก็คือสัตว์ที่แก่และพิการไม่มีใครสนใจและตายจากไปเพคะ”
“หม่อนฉันขอตอบเพค่ะ”
ดอกรัก ลูกสาวคนที่สองขอตอบคำถามบ้าง
“ที่เดินสี่ขาก็คือ เต่าเพคะ เต่าเป็นสัตว์อายุยืน ชอบออกเดินรับแดดช่วงเช้า ส่วนที่เดินสองเท้า ก็คือ นกเพคะ เวลานกบิกไปท่ี่ใดก็ถ่ายมูลออกมาเมล็ดพืชที่กินเข้าไปก็ไปเจริญเติมโตที่นั่นเพคะ ที่เดินสามขาตอนตะวันลับฟ้า ก็คือ เกวียนที่เทียมด้วยวัวหรือม้าเพคะ ส่วนตะวันลับฟ้าแล้วสิ้นใจ ก็คือ คนนอนหลับเพคะ”
“หม่อมฉันก็ขอตอบเช่นกันเพค่ะ”
ลูกสาวตาธรรมตอบคำถามด้วยวาจาที่ฉะฉานมั่นใจ
“ดวงตะวันเปรียบเหมือนกับกาลเวลาบนโลกมนุษย์ ชายคาเปรียบได้ดั่งท้องของแม่ที่อบอุ่นร่มเย็น คอยปกป้องคุ้มครองลูกเมื่ออยู่ในท้อง เมื่อลูกคลอดออกมาได้ไม่นานเด็กก็ต้องหัดคลาน โดยใช้สองมือสองเท้าช่วยพยุงให้ตนเองมั่นคง เวลาผ่านไปเมื่อเติบโตขึ้นก็จะเดินสองขา เมื่อถึงกลางวันก็คือถึงวัยหนุ่มวัยสาว วัยมีคู่ครอง กาลเวลาผ่านไปเข้าสู่วัยชราก็เปรียบเหมือนตะวันจะลับฟ้า การเดินก็ไม่สะดวกเหมือนก่อน จึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เหมือนการเดินสามขา เมื่อเวลาบนโลกหมดลงก็เหมือนตะวันลับฟ้า ก็ต้องตายไปตามกาลเวลาเพคะ”
คำตอบของลูกสาวตาธรรมเป็นที่ถูกใจบรรดาเหล่าอำมาตย์ยิ่งนัก ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กันและกันไปมา พระราชาไม่ได้กล่าวว่าพอใจกับคำตอบของใคร อย่างไร พระองค์จึงเริ่มคำถามที่ 3
“คำถามข้อที่สาม มีเทวะประเสริฐ์เลิศอยู่แค่ตาเห็น กลับทำเป็นไม่สนใจจะศึกษา
ไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ศรัทรา องค์เทวะนี้มีค่ากว่าสิ่งใด
เทวะนี้ทำให้พืชงอกงามเกิดผล เทวะนี้ร่ายมนต์ยามเจ็บไข้
เทวะนี้เคยเทศน์สอนก่อนองค์ใด เทวะนี้ไม่เคยหวังสิ่งใดมาตอบแทน
เราอยากถามว่าเทวะองค์นี้นามใด อยู่ที่ใด”
ดอกรัก ลูกสาวคนที่สองของตาเที่ยง เสนอตัวขอตอบคำถามก่อน
“หม่อนฉันขอตอบเพค่ะ เทวะองค์นี้นามว่าเทวะทองคำ อยู่ที่เมืองพายเพค่ะ เป็นเทวะที่คนสมัยก่อนสร้างไว้ด้วยทองคำ ชาวบ้านเชื่อกันว่าเทวะนี้บันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลเพค่ะ พืชพรรณจึงอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเพคะ”
ดอกไม้ลูกสาวคนแรกของตาเที่ยง รู้สึกขัดใจกับคำตอบของน้องสาว จึงชิงถวายคำตอบสอดแทรกขึ้น
“หม่อมฉันไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น คำถามของพระองค์มีนัยแฝงอยู่ จากคำถามของพระองค์เทวะองค์นี้น่าจะมีนามว่าพระแม่โพสพ เพคะ พระแม่โพสพเป็นเทวะที่บรรดาให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณธัญญาหารงอกงามดี ข้าวที่เรากินช่วยให้เราเติบโตแข็งแรงต่อสู้กับโรคภัยได้ ทุ่งข้าวทุ่งนาผู้คนได้พบเห็นเป็นประจำจนชินตา ทำนากันจนชำนาญจนไม่ต้องศึกษาใด ๆ เพิ่มเติมอีก พวกเราบูชาพระแม่โพสพด้วยความนับถือ แต่ท่านก็ไม่เคยเรียกร้องหรือหวังสิ่งใดจากพวกข้าเลยเพคะ”
คำตอบของดอกไม้ดูจะมีข้าราชบริพารที่เป็นสักขีพยานเห็นด้วยกับคำตอบหลายคน แต่ท่านอำมาตย์ทั้งซ้ายและขวายังคงนั่งนิ่ง พระราชาที่อยู่หลังม่านยังคงสงบนิ่งรอคำตอบของลูกสาวตาธรรม
“หม่อมฉันลูกสาวตาธรรมขอตอบคำถามเพคะ เทวะที่พระองค์ทรงถาม คือพ่อและแม่เพคะ”(ดูเหตุผลตอนต่อไปนะคะ)
ไม่มีความเห็น