สวัสดีค่ะ วันนี้หนึ่งขอเล่าต่อจาก "เมื่อเป็นมะเร็งปอดระยะ๔ ตอนที่๓ ช่วงที่ทรมานที่สุด" เลยนะคะ ในตอนที่๓ นั้น ผู้ป่วยได้เล่าถึงช่วงที่ทรมานที่สุด ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และสามารถผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ด้วยธรรมะ สำหรับในตอนที่๔นี้ผู้ป่วยได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกมารับการรักษาแผนปัจจุบัน(เคมีบำบัดและรังสีรักษา) ทั้งที่มีคนชวนให้ไปรักษาแบบพื้นบ้านค่ะ
ตอนที่๔ เหตุที่เลือกรักษาแผนปัจจุบัน
ช่วงเดือน พ.ย. ๕๔
ตอนพบหมอรังสีครั้งแรก หมอบอกว่ามะเร็งอยู่ที่ปอด ตับ และกระดูก มะเร็งที่กระดูกจะทำให้กระดูกผุ กระดูกพรุน เสี่ยงต่อการเป็นอัมพาต ถ้าหกล้มให้ระวัง คุณหมอสุภัชชา เขียวหวาน ท่านพูดดี เหมือนพระเทศน์ "ชีวิตคนเราเกิดมาก็ต้องตาย ตายช้า ตายเร็วเราไม่รู้ หมอเองก็ต้องตาย การรักษาไม่ใช่จะหายขาด เป็นการรักษาเพื่อบรรเทา ยับยั้งโรคไว้เท่านั้น ให้ทำใจ"
"เรื่องทำใจ" ผมทำใจมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส จากสวนโมกข์ เรื่อง"เตรียมตาย ก่อนตาย" แต่ถ้าผมตายเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะยิ่งอยู่นานก็เป็นภาระแม่และน้องๆ บอกตรงๆว่า "อึดอัดมากๆ"
ก่อนจะรักษามีคนบอกว่าไปให้ยา(เคมี)ทำไม ไปฉายแสงทำไม ทำไมไม่รักษาหมอพื้นบ้าน
เลยบอกเขาไปว่า "รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย ควรจะรักษาดูเผื่อจะรอด"
"ยาหม้อ ๑ หม้อ ราคา ๕๐๐-๑๐๐๐บาท น้ำหมักขวดละเป็นพัน จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อกินหวาดไหว มาหาหมอเพียงแต่จ่ายเงินให้ประกันสังคมเดือนละ ๓๐๐-๔๐๐บาท แค่หาเงินค่ารถก็มาพบหมอ และรักษาได้แล้ว กินยาหม้อ น้ำหมัก ไม่รู้เอาอะไรมาต้ม มาหมักให้เรากินผลทางยาก็ไม่ได้รับการวิจัย น้ำหมักผมหมักกินเองก็ได้"
สำหรับในตอนที่๔ นี้หนึ่งขอจบตอนไว้ที่สาเหตุที่ผู้ป่วยตัดสินใจเลือกรักษาแผนปัจจุบัน ด้วยเหตุเพราะผู้ป่วยเชื่อมั่นในการรักษา และยังมีความหวัง อีกปัจจัยที่เป็นสาเหตุหลักๆคือเรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวนี้ถึงแม้ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งจะค่อนข้างสูงมากกกกกก็ตาม แต่ผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิ์บัตรทอง ประกันสังคม เบิกได้ หรือจ่ายตรง ก็ได้รับการรักษาฟรีตามสิทธิ์ค่ะ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมคือค่าเดินทางมาโรงพยาบาล ค่าใช่จ่ายของญาติที่จะมาเฝ้า และผู้ป่วยอาจสูญเสียรายได้ในช่วงหยุดงานรักษาตัว เท่านั้นค่ะ ในตอนต่อไปจะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยมาฉายรังสีค่ะ
ขอขอบคุณ
ไม่มีความเห็น