ปัญหาระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องก็ยังคงเป็นปัญหาคลาสสิคที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ องค์กร หัวหน้าบางคนอาจจะประสบกับปัญหาในการบริหารลูกน้องน้อยกว่าบางคน ด้วยอาจจะได้ประสบพบเจอกับลูกน้องที่ดี และเข้าขากันได้ ปัญหาในการทำงานร่วมกันก็จะน้อยลงไปทันที แต่ถ้าเราเจอกับลูกน้องที่ทำงานเข้าขากันไม่ได้เลย นี่ก็จะเป็นสาเหตุให้ผลงานที่เราต้องการนั้นไม่สามารถออกมาได้อย่างที่เราต้องการ
เคยสงสัยหรือไม่ครับ ว่าทำไมลูกน้องถึงไม่ยอมทำงานให้ หรือ ทำไมหัวหน้าถึงไม่ยอมเข้าใจลูกน้องสักที
คำตอบก็คือ มุมมองและทัศนคติของทั้งสองฝ่ายที่แตกต่างกันราวฟ้าดินนี่แหละครับ ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายยิ่งหาจุดร่วมของความเข้าใจไม่เจอเลย ลองมาดูตัวอย่างมุมมองของลูกน้องกันสักหน่อยนะครับว่าลูกน้องเขาคิดกันอย่างไรบ้าง
มุมมองของลูกน้องต่อหัวหน้า
นี่เป็นเพียงแค่คำบ่นของลูกน้องที่ต่อหัวหน้าที่อาจจะยังไม่เข้าใจลูกน้องของตนเองว่าเป็นอย่างไร คิดอย่างไร
หัวหน้าเองก็ใช่ย่อยครับ ลองดูจากมุมมองของหัวหน้ากันบ้างนะครับ
สรุปแล้วทั้งสองฝ่ายไม่เคยเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายหนึ่งเลย หัวหน้าก็คิดเอาเองว่า ลูกน้องต้องทำงานเป็น ก็เลยคาดหวังว่าลูกน้องจะต้องสร้างผลงานได้ตามที่ตนต้องการ ส่วนลูกน้องก็คิดว่า เราเพิ่งเข้ามาทำงาน ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากมาย ดังนั้นก็คิดว่าหัวหน้าก็คงจะสอน และแนะนำวิธีการทำงานให้เราก่อนที่จะให้เราลงมือทำ
ต่างคนต่างมองกันคนละมุม ก็เลยมีปัญหาในการทำงาน ผลงานไม่ออกกันอีก
ถามว่าแล้วใครที่จะต้องเปลี่ยนก่อน คำตอบแบบฟังธงกันเลยก็คือ “หัวหน้า” ครับ หัวหน้านี่แหละครับที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนเลย เนื่องจากเราต้องการให้ลูกน้องทำงานให้เรา ดังนั้น เราจะต้องทำความเข้าใจลูกน้องของเราก่อน บางครั้งก็ต้องยอมเสียเวลาสอนงาน เพื่อให้เขาทำงานให้เราได้อย่างที่เราต้องการ
นายผมเคยสอนผมว่า “ถ้าคุณสอนเขาแล้วเขาทำไม่ได้ อย่าไปว่าเขาโง่ จงว่าตัวเองต่างหากที่โง่เพราะสอนยังไงถึงทำให้เขาไม่รู้เรื่อง”
ครูอ้อย เคยว่าตัวเองเสมอว่า...ไม่สามารถสอนพวกเขาได้ เพราะครูอ้อยไร้ความสามารถ