วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555 เรา (คณะวิทยาศาสตร์ มมส.) จัดโครงการปัจฉิมนิเทศนิสิตชั้นปี 4 ว่าที่บัณฑิตประจำปีการศึกษา 2554 ปีนี้ผมในฐานะผู้นำตั้งใจว่าจะทำให้ออกมาดี เหมือนปีที่ผ่านมา ที่ ผศ.ดร.บังอร กุมพล ท่านทำไว้อย่างดียิ่ง...ดูภาพถ่ายบันทึกตลอดงานได้ที่นี่
แผนกำหนดการแบ่งเป็น 3 ช่วง เหมือนปีที่ผ่านมา คือ ช่วงเช้าปิจฉิมนิเทศรวมที่ห้อง SC1-100 ช่วงบ่ายแยกไปปัจฉิมนิเทศตามภาควิชา...ผมเองรู้สึกเห็นใจภาควิชาคณิตศาสตร์ รู้สึกละอายต่อหัวหน้าภาคคณิตศาสตร์ เกือบทุกครั้งที่ถามว่า ภาควิชาใดจะให้นิสิตแยกไปที่ไหน ซึ่งภาคชีวะฯจะอยู่ที่ห้อง SC1-300 ฟิสิกส์อยู่ที่ห้องประชุม SC1-200 ซึ่งมีระบบเสียงอย่างดี ส่วนเคมีก็ดูจะสุขพอกับการรออยู่ที่ห้อง SC1-100 แต่ภาควิชาคณิตศาสตร์จำต้องใช้ห้องปฎิบัติการคอมพิวเตอร์ SC1-107 ซึ่งผมคิดว่าไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมกลุ่ม...ส่วนช่วงเย็น เป็นงาน "ราตรีสีเหลือง" งานสังสรรค์ แบ่งปันความสุขกัน ไม่เฉพาะระหว่างว่าที่บัณฑิตแต่เป็นนิสิตทั้งสี่ชั้นปี เน้นกิจกรรมน้องทำเพื่อพี่ ผมเชื่อมั่นว่ากิจกรรมเช่นนี้แหละ ที่จะปลูกฝังความสามัคคี ให้เกิดมีในใจเราชาว "วิด-ยา มมส." ทุกคน
ผมเพิ่มกิจกรรม "AAR" (After Action Review) ประมาณ 30 นาที คั่นกลางระหว่างช่วงเช้าและช่วงบ่าย ตามสไตล์คน KMI ที่ต้องใส่ใจกับความรู้สึกและประทับใจของว่าที่บัณฑิตที่มีต่อคณะวิทย์ที่พวกเขากำลังจะจากไกล
ช่วงเช้าเราเชิญวิทยากร จากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) มาให้ความรู้ในเรื่องเส้นทางการประกอบอาชีพ เทคนิคการสมัครงานและการปฏิบัติตัวในการสอบสัมภาษณ์อย่างถูกต้อง หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้ว ก่อนเปิดเวที AAR ผมสรุปให้ว่าที่บัณฑิตฟังว่า ผมจับประเด็นได้ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
ตอนท้ายผมพยายามที่จะบอกพวกเขาว่า พวกเขาสำคัญแค่ไหน ต่อการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติ ผมอธิบายว่าประเทศที่เจริญรุ่งเรืองเขาให้ความสำคัญกับนักวิทยาศาสตร์มากแค่ไหน แต่เมื่อหันมามองประเทศไทย กลับแห่กันเรียนวิศวกร แห่กันสอนแต่เทคโนโลยีต่อยอด(ฝรั่ง) สิ่งที่ตกทอดมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น หลายอย่างขาดวิ้นและสูญหายไป ผมพยายามเน้นว่า มีแต่นักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ที่จะ "พัฒนาองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล" ได้ เพราะเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกปลูกฝังให้เรียนรู้และค้นหา ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งภาคสนามแบบลงลุยพื้นที่และมีทั้งที่คิดค้นจากขนาดระดับอณูสู่การใช้งานจริงในห้องเลป
ท้ายที่สุดผมเน้นปรัชญาของมหาวิทยาลัย "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" หากพวกเขาประพฤติตนแบบนั้นได้ ผมคิดว่านั่นคือ "แก่นของความสุข" เป็นทางเบื้องต้นสู่ "หนทางแห่งการพ้นทุกข์" ซึ่งความสุขจะเกิดขึ้นทันทีที่พวกเขาเริ่มทำ
พิมพ์ผิดอย่างไร ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับ
ป.ล. อยากให้ว่าที่บัณฑิตที่ได้อ่านกระทู้นี้ เขียนถึงความประทับใจของตน ไว้ด้านล่างนี้ เพื่อให้พี่น้องคนอื่นๆ อ่าน...จะเป็นการดียิ่ง
ไม่มีความเห็น