สวัสดีครับเพื่อนครูทุกท่าน วันนี้ผมตั้งใจจะเอาผลการวิเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนโรงเรียนปากพนังมานำเสนอนะครับ คิดเสียว่าเป็นการทดลองของครูที่สำนึกเตรียมตัวเตรียมใจอยู่เสมอว่าเป็นนักศึกษาฝึกวิชาชีพครูอยู่ตลอดมาครับ
การสำรวจรูปแบบการเรียนรู้ของเด็กโรงเรียนปากพนัง
บทนำ
การสำรวจรูปแบบการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอน การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้จะช่วยให้ครูมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลใน รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้มีประโยชน์ต่อทั้งผู้เรียน และผู้สอน ในแง่การส่งเสริมการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และการจัดการศึกษาได้อย่างประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังที่ไว้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545 ในมาตรา 22 ไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และมาตราที่ 24 วรรค 1 ที่กล่าวว่า จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม 2545, ม.ป.ป.: 5) การวิเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนตามธรรมชาติ เต็มตามศักยภาพของผู้เรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความสนใจและและถนัดของผู้เรียนเป็นรายบุคคลโดยแท้
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนข้าใจตนเอง และเข้าใจในความแตกต่างระหว่างตนเอง และผู้อื่น และใช้ประโยชน์จาก ความรู้ความเข้าใจใน จุดเด่นของรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ของตน ไปให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อการเรียนทางวิชาการ การเรียนรู้ในสภาพการณ์ทั่วไป และการทำงานในอนาคตต่อไป พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของตนในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่เคยใช้หรือไม่ค่อยได้ใช้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นผู้มีรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้หลายรูปแบบ ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกนำออกมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะถ้าผู้เรียนที่ยึดมั่นในการใช้รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้แบบใดแบบหนึ่งเพียงรูปแบบเดียว ก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดีเฉพาะในบางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่สอดคล้องกับการจัดการสอนเท่านั้น แต่ในบางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่ต้องการรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างออกไป ก็จะเกิดความรู้สึกยุ่งยากหรืออาจเป็นปัญหาการเรียนได้
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ ทำให้นักจิตวิทยา และนักการศึกษาเห็นถึงความจำเป็น ที่ผู้สอนจะต้องปรับสภาพการเรียนการสอน และกลวิธีการสอนให้เข้ากับลักษณะของผู้เรียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนการสอน และช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการ โดยผู้สอนควรจะสร้างความสมดุลในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนทุกคน ด้วยการจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้มีความหลากหลาย และยืดหยุ่น เพื่อสอดรับกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียนที่แตกต่างกัน และช่วยให้นักศึกษามีทักษะในการใช้รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่ตนชอบมากกว่า และอีกทั้งจัดรูปแบบการเรียนการสอน ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มทักษะการใช้รูปการเรียนที่ตนชอบน้อยกว่าให้สูงขึ้นด้วย โดยนัยนี้ในการจัดการเรียนการสอนในครั้งแรก ผุ้สอนจำเป็นต้องจัดเนื้อหาและวิธีการที่สอดคล้องกับผู้เรียนเป็นรายบุคคลเสียก่อน เมื่อผู้เรียนเกิดการประมวลผลและเข้าใจในสิ่งที่ผุ้สอนนำเสนอแล้ว จึงค่อยนำวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนไม่คุ้นเคย เพื่อที่จะให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการทำงานด้วยรูปแบบต่างกันออกไป จะเป็นการเพิ่มพูนทักษะให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนอีกโสดหนึ่งด้วย
แนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เนื่องจากในการสำรวจครั้งเป็นการสำรวจเพื่อวางแนวทางในการสอน จึงไม่สุ่มตัวอย่าง แต่ใช้ทั้งประชากร ประชากรที่ใช้ก็คือนักเรียนห้อง 2/6, 2/7, 2/8, 2/10, 4/1 และ 4/7 จำนวน 238 คน
2. แบบการสำรวจใช้ของ BARSCH LEARNING STYLE REFERENCE FORM ซึ่งพัฒนาโดย Ray Barsch แบบสำรวจนี้เป็นภาษาอังกฤษ ผู้สำรวจได้แปลงในบางข้อเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมของนักเรียนไทย
3. การวิเคราะห์ข้อมูลได้ค่าร้อยละ แยกไปตามลักษณะของรูปแบบการเรียนรู้ ตามวรรณกรรมที่ได้สำรวจไว้
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
1. รูปแบบการเรียนรู้เป็นข้อมูลดิบ
รูปแบบการเรียนรู้ |
ตา |
หู |
กาย |
ตา/หู |
ตา/กาย |
หู/กาย |
ตา/หู/กาย |
รวม |
ห้อง 2/6 |
14 |
12 |
5 |
8 |
1 |
5 |
0 |
45 |
ห้อง 2/7 |
8 |
13 |
9 |
7 |
1 |
5 |
1 |
44 |
ห้อง 2/8 |
5 |
12 |
10 |
4 |
0 |
6 |
0 |
37 |
ห้อง 2/10 |
14 |
15 |
1 |
9 |
2 |
2 |
0 |
43 |
ห้อง 4/1 |
13 |
10 |
8 |
4 |
2 |
1 |
1 |
39 |
ห้อง 4/7 |
12 |
6 |
3 |
4 |
0 |
4 |
1 |
30 |
รวม |
66 |
68 |
36 |
36 |
6 |
23 |
3 |
238 |
จากตารางพบว่านักเรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้ทางหูมีมากที่สุด รองรงมาคือทางตา ที่เป็นแบบผสมทั้ง 3 ส่วน กล่าวคือ ตา หู กาย มีน้อยที่สุด
2. รูปแบบการเรียนรู้ที่เป็นค่าร้อยละ
รูปแบบการเรียนรู้ |
ตา |
หู |
กาย |
ตา/หู |
ตา/กาย |
หู/กาย |
ตา/หู/กาย |
รวม |
ห้อง 2/6 |
5.88 |
5.04 |
2.10 |
3.361 |
0.42 |
2.10 |
0 |
18.90 |
ห้อง 2/7 |
3.36 |
5.46 |
3.78 |
2.94 |
0.42 |
2.10 |
0.42 |
18.48 |
ห้อง 2/8 |
2.10 |
5.04 |
4.20 |
1.68 |
0 |
2.52 |
0 |
15.54 |
ห้อง 2/10 |
5.88 |
6.30 |
0.42 |
3.78 |
0.84 |
0.84 |
0 |
18.06 |
ห้อง 4/1 |
5.46 |
4.20 |
3.36 |
1.68 |
0.84 |
0.42 |
0.42 |
16.38 |
ห้อง 4/7 |
5.04 |
2.52 |
1.26 |
1.68 |
0 |
1.68 |
0.42 |
12.60 |
รวม |
27.73 |
28.57 |
15.12 |
15.12 |
2.52 |
9.66 |
1.26 |
100 |
จากตารางพบว่านักเรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้ทางหูมีมากที่สุด ร้อยละ 28.57 รองรงมาคือทางตา ร้อยละ 27.73 ที่เป็นแบบผสมทั้ง 3 ส่วน กล่าวคือ ตา หู กาย มีน้อยที่สุดร้อยละ 1.26
การอภิปรายผล
แนวทางในการจัดการเรียนการสอนจะเน้นผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบทางหูเป็นหลัก รองลงมาทางตา เป็นที่น่าสังเกตในจำนวนนี้มีผู้เรียนที่มีลักษณะเรียนร่วมกันคือตาและหูถึงร้อยละ 15 ส่วนที่เป็นทางกายจะจัดเป็นอันดับสุดท้าย
ไม่มีความเห็น