“เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนหรือไปเยี่ยมประชาชนที่ใด เมื่อได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน ก็บอกให้ไปร้องที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น”
(พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ งานกาชาด พุธที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๙)
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นรูปแบบการปกครองที่สะท้อนการกระจายอำนาจให้หน่วยการปกครองพื้นฐานของประเทศ อันเป็นการตอบสนองต่อนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของรัฐบาลที่จะทำให้อำนาจการบริหารงานแก่หน่วยการปกครองท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นด้วยตนเองตามอำนาจหน้าที่ มีอิสระในการตัดสินใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในท้องถิ่นนั้นตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
จะเห็นได้ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศต่างพยายามปฏิบัติภารกิจแก้ไขปัญหา เสริมสร้างการอยู่ดี มีสุข สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนของตน ให้สมกับความคาดหวังของสังคมที่เห็นว่า เป็นองค์กรที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนในท้องถิ่นมากที่สุด ผู้บริหารและสมาชิกต่างได้รับเลือกมาจากประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ ทำให้ทราบปัญหา ความต้องการของท้องถิ่นได้ดีกว่าส่วนอื่น สามารถแก้ไขปัญหา บรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว
ศ.นพ.ประเวศ วะสี เห็นว่าหายนะของประเทศเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจ แม้วิกฤตการณ์ของประเทศจะเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่แก่นของมันคือการรวมศูนย์อำนาจของประเทศ พร้อมเสนอแนวทางป้องกันหายนะไว้ว่า (“การรวมศูนย์อำนาจคือหายนะของประเทศ” วารสารหมออนามัย ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๖ พ.ค. – มิย. ๒๕๕๔)
๑.ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง คนข้างบนไม่รู้ว่าคนข้างล่าง “ตื่น” ขึ้นมาจัดการตัวเองแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำลังทำอะไรดีๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ก้าวหน้าและเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ ชุมชนท้องถิ่นปกคลุมทุกตารางนิ้วของประเทศ ถ้าเข้มแข็งและจัดการตัวเองได้ ก็จะทำให้ฐานของประเทศมั่นคง
๒. ควรมีการออกแบบ พ.ร.บ.ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง เพื่อปลดล็อกกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการกำหนดอนาคตและการจัดการตัวเองของชุมชนท้องถิ่น
๓. ระบบการศึกษาควรส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น
๔. สร้างประชาธิปไตยฐานกว้างทั้งแผ่นดิน ชุมชนท้องถิ่นมีฐานกว้าง มีผู้นำตามธรรมชาติที่เป็นทั้งคนเก่งและคนดีจำนวนมาก ถ้าเราตั้งระบอบประชาธิปไตยให้มีฐานกว้างจะเกิดพลังประชาธิปไตยมหาศาลทั้งแผ่นดิน ท้องถิ่นเกือบ ๘,๐๐๐ แห่ง ถ้าเชื่อมโยงกันทั้งหมดจะเป็นเครือข่ายประชาธิปไตยท้องถิ่นอันไพศาล
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในปัจจุบันพบว่า การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขาดการเอาใจใส่ การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นถูกหมางเมินจากนักการเมืองทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีความสำคัญมากก็แต่ในช่วงก่อนเลือกตั้งที่นักการเมืองเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ให้คำมั่นสัญญาที่ฟังแล้วทำให้หลงใหลได้ปลื้ม แต่หลังจากการเลือกตั้งผ่านไป องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ถูกลืม ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในขณะที่ทุกปัญหาของสังคมตลอดจนนโยบายประชานิยมถูกโยนให้ท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ โดยอ้างถึงการกระจายอำนาจ การอยู่ใกล้ชิดประชาชน โดยธรรมชาติของการทำงานที่มากและหลากหลายย่อมที่จะประสบปัญหาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถูกประณาม ดูถูกเหยียดหยามในหลายประเด็น ซึ่งถ้ามองด้วยสายตาแห่งความเป็นธรรมแล้วจะพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีเป็นจำนวนมาก อาจจะมีปัญหาในการบริหารจัดการบ้าง แต่หน่วยงานอื่นก็มีปัญหาเช่นกัน จะแตกต่างก็ตรงที่หน่วยงานนั้นมีน้อยกว่า ไม่ถูกพูดถึง ประกอบกับคนท้องถิ่นพูดแล้วเสียงไม่ดัง ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ
มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากมายที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุข สร้างชุมชนเข้มแข็ง (แต่มักไม่ถูกกล่าวถึง) เช่น เทศบาลตำบลปริก จ.สงขลา, เทศบาลตำบลเวียงพางคำ จ.เชียงราย, เทศบาลตำบลคำขวาง จ.อุบลราชธานี, อบต.แม่ยาว จ.เชียงราย, อบต.ดอนแก้ว จ.เชียงใหม่, อบต.หาดสองแคว จ.อุตรดิตถ์, อบต.หัวง้ม จ.เชียงราย ฯลฯ
ได้มีความพยายามเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาการกระจายอำนาจและการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้หลายประการ แต่ไร้ผลในทางปฏิบัติหรือไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น จึงได้มีแนวคิดใหม่คือการตั้งพรรคการเมืองท้องถิ่น สอดคล้องกับแนวคิดของ นายสุวิทย์ ทองสงค์ นายก อบต.เมืองบางขลัง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ที่คิดจะตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
นายกฯ สุวิทย์ ได้แสดงทัศนะไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่คนท้องถิ่นต้องจับมือกันสร้างพรรคการเมืองของคนท้องถิ่นขึ้นมาเอง เพราะเราหวังพึ่งใครไม่ได้ ดังนั้นเราต้องพึ่งตัวเอง ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ค่อยให้ความสนใจต่อการกระจายอำนาจ ไม่ให้ความสนใจต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ท้องถิ่นต้องประสบปัญหาต่างๆ ตามมา ดังนั้นจำเป็นที่คนท้องถิ่นจะต้องรวมตัวกันเพื่อส่งตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร เสนอกฎหมาย แก้กฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการกระจายอำนาจ เสนอข้อเท็จจริงของท้องถิ่นให้รัฐบาลได้ทราบ อันจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นระบบอย่างยั่งยืน นำมาสู่การแก้ไขปัญหา พัฒนาท้องถิ่นได้อย่างกว้างขว้างและครอบคลุม
สิ่งสำคัญเบื้องต้นคือ คนท้องถิ่นต้องไม่ดูถูกตัวเอง ต้องไม่ดูถูกเพื่อนท้องถิ่นด้วยกัน ทุกท้องถิ่นต่างมีศักยภาพและแนวทางพัฒนาที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น อบต.เมืองบางขลัง จ.สุโขทัย เป็น อบต.เล็กๆ ได้ใช้ทุนท้องถิ่นทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม มาเป็นแกนหลักในการพัฒนา สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน จนได้รับรางวัลต่างๆ และยังมีท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมากที่โดดเด่นเป็นที่กล่าวถึง ปัจจัยที่เอื้อต่อการตั้งพรรคการเมืองที่เห็นเด่นชัด ได้แก่
๑. นักการเมืองท้องถิ่นส่วนใหญ่ต่างก็เป็นฐานเสียง หรือสนับสนุนนักการเมืองระดับชาติอยู่แล้ว ทำให้ได้สัมผัส เรียนรู้เทคนิค วิธีการ กลยุทธ รู้จุดดี จุดด้อย ข้อควรแก้ไขปรับปรุง
๒. บุคลากรมีความพร้อม ผู้บริหารและสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างมีประสบการณ์ในการหาเสียง การบริหารจัดการ งานมวลชน
๓. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบคลุมไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่างสั่งสมประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ปัจจุบันได้สถาปนาตนเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชนท้องถิ่นในทุกด้าน และมีบุคลากรหรือข้าราชการประจำที่พร้อมสำหรับการบริการประชาชน ทำให้มีฐานเสียงในเบื้องต้นอยู่แล้ว
๔. มีเครือข่ายที่เข้มแข็ง จะเห็นว่ามีการรวมกลุ่มกันในลักษณะต่างๆ เช่น สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย, สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย, สมาพันธ์ปลัด อบต.แห่งประเทศไทย, สมาคมข้าราชการและพนักงานจ้างแห่งประเทศไทย, สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ฯลฯ ถ้าเราสร้างความร่วมมือกับกลุ่ม องค์กร ที่มีอยู่แล้วจะทำให้พรรคการเมืองท้องถิ่นเข้มแข็งอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมาเริ่มต้นใหม่
นายกฯ สุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ว่า ให้ดูตัวอย่างพรรครักประเทศไทยของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ได้คะแนนเสียงแบบบัญชีรายชื่อถึง ๙๙๘,๖๐๓ คะแนน ทำให้ได้ ส.ส. ๔ คน (คะแนนรวมระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมือง หารด้วยจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ คือ ๑๒๕ คน จะได้ ส.ส. ๑ คน) ทั้งๆ ที่พรรคไม่ได้มีฐานเสียงที่กว้างขว้าง ขายเพียงนโยบาย ความดุเด็ดเผ็ดมัน ความแปลกของหัวหน้าพรรคเท่านั้น
พรรคของคนท้องถิ่นก็เช่นกัน โดยในเบื้องต้นส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเฉพาะบัญชีรายชื่อ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ข้อมูลกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ณ วันที่ ๒๐ มิ.ย. ๒๕๕๔) มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งสิ้น ๗,๘๕๓ แห่ง (องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๗๖ แห่ง,เทศบาล ๒,๐๑๐ แห่ง(เทศบาลนคร ๒๗ แห่ง,เทศบาลเมือง ๑๔๕ แห่ง,เทศบาลตำบล ๑,๘๓๘ แห่ง), องค์การบริหารส่วนตำบล ๕,๗๖๕ แห่ง, รูปแบบพิเศษ ๒ (กรุงเทพฯ, พัทยา)) สมมุติตัวเลขง่ายๆ ที่ ๗,๐๐๐ แห่ง ขอคะแนนบัญชีรายชื่อแห่งละ ๕๐๐ คะแนน จะได้คะแนนรวม ๓,๕๐๐,๐๐๐ คะแนน คิดคำนวณอัตราส่วน ส.ส.ตามเกณฑ์ กกต.ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ๒๖๐,๑๙๓ คะแนนต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ๑ คน จะได้ ส.ส. จำนวน ๑๓ คน
มีแนวคิดจำนวนมากที่สนับสนุนความเป็นไปได้ในการตั้งพรรคท้องถิ่น เช่น
ทวีศักดิ์ ศรีทองกิติกูล ประธานสมาพันธ์ปลัด อบต.แห่งประเทศไทย มีแนวคิดว่า “พลังขับเคลื่อนท้องถิ่นคือพลังขับเคลื่อนประเทศไทย ต่อแต่นี้ไปผมขอเชิญชวนให้พวกเราจงมีจิตใจยึดมั่นต่อจิตสำนึกท้องถิ่น หรือ “Localism” ร่วมกันผลักดันให้ชาวท้องถิ่นมีสำนึกรักท้องถิ่น เลิกแบ่งเขาแบ่งเรา ไม่ว่าจะเป็นปลัดหรือข้าราชการท้องถิ่นทุกตำแหน่ง นักการเมืองท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอให้พวกเรามีความรัก มีจิตสำนึกร่วมกันในการเป็นท้องถิ่น สร้างความเป็นท้องถิ่นนิยมให้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายว่าหากท้องถิ่นเข้มแข็งเมื่อใดประเทศไทยก็เข้มแข็งเมื่อนั้น...”(http://www.samaphan-abt.org/)
สมาพันธ์ปลัด อบต.แห่งประเทศไทย ประชุมกัน แล้วมีข้อเสนอให้ข้าราชการพนักงานท้องถิ่น และครอบครัวเกือบ ๒ ล้านคน ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งใหญ่ ให้ลงคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อให้พรรคที่ให้ความสนใจและมีนโยบายชัดเจนด้านการกระจายอำนาจ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง แล้วจะร่วมกับสมาคมอื่นๆ เพื่อติดตามนโยบายทุกพรรคการเมืองเพื่อให้มีข้อสรุปจะเทคะแนนให้พรรคการเมืองใดที่มีความชัดเจนด้านการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น (มติชน ฉบับวันพุธที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔)
สังคมไทยไม่ได้ปฏิเสธการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจเพื่อลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจท้องถิ่น เพียงแต่ไม่ได้ให้ความจริงใจ ข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปฯ เพื่อปรับโครงสร้างอำนาจ เสนอให้ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจท้องถิ่นที่อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เสนอไปยังพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรีแล้วแต่ก็เงียบไป
พรรคการเมืองไทยและการเมืองท้องถิ่นได้มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งมานาน การเมืองท้องถิ่นถือเป็นแหล่งทรัพยากรทางการเมืองที่สำคัญสำหรับพรรคการเมืองที่จะต้องแสวงหาและครอบครอง ใช้การเมืองท้องถิ่นเป็นฐานอำนาจที่สำคัญยิ่งในการก้าวเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองท้องถิ่นจะรวมตัวกันตั้งพรรคการเมืองของคนท้องถิ่นที่เป็นแบบมหาภาค ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงเพราะท้องถิ่นครอบคลุมประชากรทุกตารางเซ็นติเมตรอยู่แล้ว
ข้าราชการพนักงานท้องถิ่น และครอบครัวเกือบ ๒ ล้านคน ทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและครอบครัวอีกเกือบ ๒ ล้านคน รวมกับเสียงประชาชนที่สนับสนุนเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ เราคงมี ส.ส.ที่มาจากพรรคของคนท้องถิ่นได้อย่างแน่นอน
คนท้องถิ่นไม่ต้องโนโหวต ไม่ต้องพูดถึงการยุบราชการส่วนภูมิภาค ไม่ต้องกล่าวถึงการสลายกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินตัว เป็นการผลักมิตรให้เป็นศัตรู และอาจจะถูกโจมตีกลับอย่างรุนแรง แต่ควรจะประสานไมตรีร่วมกันสถาปนาพรรคการเมืองเพื่อคนท้องถิ่นโดยแท้จริง เมื่อใดที่ท้องถิ่นและท้องที่รวมตัวกันได้ เมื่อนั้นท้องถิ่นจะเข้มแข็ง และจะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยที่น่าสนใจยิ่ง
สุเชษฐ์ คงดำ ปลัด อบต.บางมะเดื่อ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ได้เขียนลงใน facebook ว่า “...ก่อนนอนคืนนี้ คิดสักนิดน่ะครับ หากว่าเรามีผู้แทนราษฎรสักคนหนึ่ง ประกาศว่าจะเป็น ส.ส.หรือผู้แทนของชาวท้องถิ่น...สมัยหน้าเราคงต้องตั้งพรรคการเมืองสักพรรคแล้วครับ ชื่อว่า พรรคท้องถิ่นไทย...จะดีไหมครับพี่น้องครับ” ขอตอบว่า ดีแน่ และพรรคของคนท้องถิ่นมีแน่ เพียงแต่ว่าจะใช้ชื่ออะไรเท่านั้น.
(พรรคท้องถิ่นไทย, พรรคเพื่อท้องถิ่น, พรรคคนท้องถิ่น, พรรคท้องถิ่นก้าวไกล, พรรครักษ์ท้องถิ่น, พรรคเพื่อท้องถิ่น, พรรคพลังท้องถิ่น, พรรคท้องถิ่นพัฒนาเพื่อคนไทย, พรรคพลังคนท้องถิ่น ฯลฯ)