เปิดบันทึกเรียนด้วยรัก-ฟื้นด้วยใจสู่ลูกพิการ “เมื่อหัวใจไม่เคยท้อ”


เปิดบันทึกเรียนด้วยรัก-ฟื้นด้วยใจสู่ลูกพิการ “เมื่อหัวใจไม่เคยท้อ”

26 มกราคม 2555 เวลา 21.00น.

ยิ้มที่ถูกส่งต่อ

“หัวใจไม่เคยท้อ” เราบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อเห็นแม่พาเด็กน้อยผู้มีร่างพิการ และแม้ร่างกายภายนอกจะไม่ปกติ แต่หัวใจของพวกเขาน่ายกย่องเสมอ ทั้งพ่อ แม่ ลูก แต่ละคนต่างหอบกำลังใจมาร่วมทำกิจกรรมด้วยความยินดี… และความรู้ที่ได้ ประสบการณ์ที่ได้รับ มันทำให้ความหวังเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมไปกับการมีชีวิตที่คิดว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าเมื่อวาน

วันนี้เราลงพื้นที่เยี่ยมบ้านของน้องๆ ที่บ้านหัวแม่คำ ต.แม่สองใน และ บ้านแปดหลัง ต.เทอดไทย ไปกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง และมูลนิธิศูนย์รวมมิตรเพื่อเด็กและเยาวชน การเดินทางขึ้นหมู่บ้านเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ จากจุดเริ่มต้นแม้ระยะทางจะไม่ไกลนัก แต่ระหว่างทางโค้งเยอะ และชัน จนเมื่อมองนาฬิกาก็รู้ว่าการเดินทางเช่นนี้มันก็ทำให้ใช้เวลาเอาเรื่อง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้พลันนึกถึงมุมที่พวกเขาลงไปร่วมกิจกรรมกับพวกเราที่ด้านล่างบ้างว่าต้องลำบากขนาดไหน

 

บ้านหลังแรกที่เราไปเยี่ยมกันวันนี้ คือบ้านของ น้อง “ประภัสสร” อายุ 8 ขวบ ซึ่งบ้านอยู่ที่ บ.หัวแม่คำ ต.แม่สลองใน ตามรายงานแจ้งว่ามีอาการ เกร็ง กระดูกสันหลังโค้ง นั่งหลังตรงเองไม่ได้ พวกเราถามถึงอาการของน้อง พร้อมมีเจ้าหน้าที่คอยจดบันทึก อาการของน้องที่สัมผัสได้ในวันนี้คือ น้องนั่งได้ แต่ขาเกร็งมาก แต่ก็สามารถนั่งและทรงตัวได้ดีขึ้น หากมีการกายภาพเท้า และเริ่มฝึกให้ถูกต้อง จากนั้นพี่ๆที่มากับคณะก็ เริ่มสอนวิธีการฝึกนวดและดัดเท้า เพื่อให้มีแรง และแนะนำให้ฝึกการย่อยืด การควบคุมสะโพก ซึ่งในเบื้องต้นแนะนำให้ทำราวไม้ไผ่ คู่ เพื่อทำการฝึกเดิน ซึ่งขนาดไม้ไผ่ต้องพอดีกับมือ คือให้น้องกำมือได้สนิทกับไม้ หากทำการฝึกฝนอย่างถูกต้อง คงมีแนวโน้มเดินได้กว่านี้

  

อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่น่ายินดีเพราะ น้องประภัสสร สื่อสารรู้เรื่อง ทานข้าวได้แต่เนื่องจากขาดคำแนะนำที่ดี แต่แม่ของน้องก็ยังใช้วิธีป้อนดื่มน้ำผ่านขวดนม ซึ่ง พี่ๆจึงแนะนำให้ใช้ช้อนและหัดให้น้องฝึกรับประทานข้าวเอง อีกทั้งยังแนะนำให้ใช้แก้วน้ำในการดื่มน้ำด้วย

 

รอยยิ้มเล็กๆของวันนี้ คือน้องไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยสักนิด สามารถเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี สุขภาพจิตดี ยิ้มหัวเราะตลอดเวลาที่มีคนพูดคุยด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่น้องยิ้ม หัวใจของพวกเราก็พลอยอิ่มเอมไปพร้อมๆกัน เสมือนรอยยิ้มนั้นได้ถูกส่งต่อม

 

ความหวังอันปกติ

เราเคลื่อนคณะมาถึงบ้านของ “เจษฎา” อายุ 12 ปี ในตำบลเดียวกัน ดูจากภายนอกน้องเจษฎา พูดคุยรู้เรื่อง สติปัญญาใกล้เคียงเด็กปกติ แต่มีอาการเกร็ง และนั่งหลังตรงไม่ได้ แม่และพ่อเล่าว่า หลังจากน้องเกิดได้ประมาณ 5 เดือน หัวก็มีอาการโตขึ้น จึงพาไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง หลังจากนั้นถึงถูกส่งตัวไปผ่าตัดที่ โรงพยาบาลเชียงราย เพื่อทำการรักษาแรก ด้วยการต่อท่อระบายน้ำจากสมอง ลงกระเพาะเพื่อแก้อาการหัวโต

 

สิ่งที่พี่ๆเจ้าหน้าที่แนะนำครอบครัวข้องน้องในวันนี้คือการ ฝึกเดินด้วยไม้ไผ่ พร้อมไปกับสอนวิธีการนวดคลายกล้ามเนื้อ ในส่วนขา โดยการให้เด็กนั่ง และจับหัวเข่า และกับเท้า และดันขึ้นตรงๆ จนติดน่องหน้าท้อง (ที่ต้องคลาย เพื่อไม่ให้เส้นยึด จะได้ฝึกเดินได้)

 

สิ่งที่นึกได้ระหว่างการเยี่ยมน้องรายนี้คือ เนื่องจากน้องอายุ 12 ขวบ ซึ่งตามปกติเด็กในวัยนี้จะพยายามช่วยเหลือตัวเอง แต่เนื่องจากร่างกายไม่สามารถบังคับส่วนต่างๆ ได้อย่างใจ จึงทำให้น้องเจษฎามีอารมณ์หงุดหงิด และโวยวายบ้าง ที่สำคัญ เจษฎาอายุค่อนข้างมาก เมื่อถูกดัดร่างกายจึงมีอาการเจ็บเล็กน้อย ทำให้โวยวายได้ง่าย แต่ทั้งพ่อและแม่ของน้องก็ยืนยันว่าจะไปร่วมกิจกรรมทุกครั้ง

ด้วยความหวังจะให้ลูกของตัวเองมีชีวิตไม่ต่างจากคนปกติ ไม่ต่างจากคนทั่วๆไป

 

หัวใจไม่ท้อ

รายสุดท้ายของวันนี้ คือบ้านของ “อัฉรา” เด็กหญิงวัย4 ขวบ ที่มีอาการเกร็ง พูดไม่ได้ นั่งหลังตรงเองไมได้ ทั้งที่น้องอัฉรามีพี่น้องอีก 2 คน สภาพร่างกายปกติซึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะน้องอัฉราเกิดอาการชัก หลังจากฉีดวัคซีนที่สถานีอนามัย

บ้านของน้องมีสภาพคล้ายกระท่อมชั้นเดียวทำด้วยไม้ไผ่เตี้ยๆ มุงหญ้าคา ที่นอนที่ทำกับข้าวอยู่ใกล้ๆกัน มีห้องน้ำแยกจากตัวบ้าน ในบ้านมีทีวี ไม่มีตู้เย็น นอกบ้านมีท่อซีเมนต์เอาไว้เก็บน้ำที่มาจากประปาภูเขา ซึ่งพลันที่ชวนคุยจนได้เรื่อง พี่เจ้าหน้าที่ตรวจสภาพร่างกาย และแนะนำวิธีการบำบัดตามสภาพร่างกายของน้อง ด้วยการสอนการนวดผ่อนคลาย ด้วยความหวังว่าเมื่อเด็กยังมีอายุยังน้อย ก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะเดินได้ค่อนข้างสูง หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง

 

กับเคสนี้เจ้าหน้าที่เน้นที่การสอนนวดเพื่อยืดหลังให้ตรง และดัดเท้าไม่ให้บิด ซึ่งก็น่าดีใจว่าเด็กไม่มีอาการต่อต้านการดัดแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กลับสอนได้ไม่มากนัก เพราะแม่ของน้องจำท่าไมได้ไม่ได้ พวกเราจึงใช้เหตุผลอันนี้ เชิญชวนให้ครอบครัวพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในอนาคตเช่นกัน

 

ถึงเช่นนั้นในกรณีนี้ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อยากบอกเล่า นั่นคือในช่วงแรกที่พี่เจ้าหน้าที่เชื้อเชิญให้มาร่วมกิจกรรมนั้นทั้งพ่อและแม่ของน้องยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะพามา (เกี่ยงกัน) แต่สุดท้ายเพราะความที่ทั้งสองอยากเห็นลูกเดินได้ ก็ต้องลงที่จะเดินทางมาพร้อมกัน2คน ทันที

นี่แหละหนา..หัวอกคนเป็นพ่อแม่ ที่หัวใจไม่เคยท้อต่อความพิการของลูก

และนี่คือทั้งหมดที่ฉันเห็นในวันนี้ มันคือเรื่องดี ที่มีความเศร้าปะปนอยู่บ้าง หากแต่ก็ควรค่าจะถูกบันทึกไว้ในสมุดของฉัน

 

คำสำคัญ (Tags): #กระจายสุข
หมายเลขบันทึก: 477326เขียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2012 01:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 17:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะ Ico64 ...แวะมาอ่านและชื่นชมเรื่องดีที่มีความเศร้าปนนะคะ...

ขอบคุณ @ดร. พจนา แย้มนัยนา มากคะ ที่ช่วยส่งเสียงเป็นกำลังใจ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าไม่ได้เหงาอยู่คนเดียว

ข่าวร้ายยิ่งกว่าร้าย หลังจากที่กลับมาได้ไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ (ผู้จัดการโครงการ พี่ทาทา) โทรมาบอกว่ามีเด็กที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ ที่ อ.แม่ลาว เสียชีวิต เนื่องจากสำลักอาหาร

น้องจากพวกเราไปแล้ว ถึงแม้จะไม่เคยเจอน้องๆ ในพื้นที่ อ.แม่ลาว แต่ก็รู้สึกใจหายวาบ ขอให้น้องไปสู่สุขติด้วยคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท