“เทา-งามสัมพันธ์” เกิดจากความผูกพันทางใจของคณะผู้บริหารและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ก่อเกิดจากต้นน้ำอันเป็นสายธารเดียวกัน คือ “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” (มศว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผูกพันของผู้คนในสายกิจการนิสิตนั้นมีความกลมเกลียว รักใคร่ เป็นปึกแผ่น แน่นแฟ้นและเป็นหนึ่งเดียว เสมือนสายน้ำที่ตัดไม่ขาด มีกิจกรรมสานสัมพันธ์กันสืบมาตั้งแต่กีฬา ๘ วิทยาเขตและศิลปวัฒนธรรม 8 วิทยาเขต
กระทั่งในที่สุด เมื่อพลวัตเหลือเพียง ๕ สถาบัน แต่ละแห่งได้เติบโตไปตามวิถีของตนเอง แต่ยังคงไว้ซึ่งสายสัมพันธ์ที่เป็นเสมือนสายธารที่ไม่เคยหยุดไหล จนในที่สุดก็ก่อเกิดเป็นงาน “เทา-งามสัมพันธ์” โดยเริ่มจากกีฬาและศิลปวัฒนธรรมของการพัฒนานิสิต พัฒนาสู่การลงนามความร่วมมือครอบคลุมด้านอื่นๆ อาทิ วิชาการ วิจัย บริการวิชาการ แต่สุดท้ายใน “วิถีแห่งเทา-งามสัมพันธ์” ก็ได้หวนกลับมาคงอยู่แต่เฉพาะความเป็นหนึ่งเดียวของฝ่ายพัฒนานิสิต ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับสายธารความผูกพันของผู้คนไม่เคยเหือดหายและหลุดไหล กระทั่งหยัดยืนมาสู่กิจกรรมบูรณาการที่เน้นการเรียนรู้ชุมชนควบคู่ไปกับการบริการสังคมเฉกเช่นปัจจุบัน...
ภายหลังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ได้รับการยกฐานะจากวิทยาลัยวิชาการศึกษาในปี ๒๕๑๗ โดยประกอบด้วยวิทยาเขตทั้งสิ้น ๘ วิทยาเขต คือ ประสานมิตร ปทุมวัน บางเขน พลศึกษา บางแสน พิษณุโลก มหาสารคามและสงขลา ซึ่งในอดีตมีกิจกรรมเชื่อมร้อยสายสัมพันธ์ในเครือพัฒนานิสิตอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมออยู่บ่อยๆ อาทิ การปิดภาคเรียนปลายของแต่ละปี จะมีการสัมมนาผู้นำนิสิตร่วมกัน มีค่ายของผู้นำร่วมกัน หรือแม้แต่กิจกรรมหลักๆ ที่ถือเป็น “ประเพณี” ที่ทุกภาคฝ่ายขยับเข้ามามีส่วนร่วมอย่างคึกคักก็คือการแข่งขันกีฬา ๘ วิทยาเขต และงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ๘ วิทยาเขต
เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นนิสิต “มศว มหาสารคาม” นั้น ผมมีโอกาสสัมผัสกิจกรรมเหล่านี้บ่อยครั้ง เป็นต้นว่า การสัมมนาผู้นำนิสิต ซึ่งยุคสมัยหนึ่งเคยมีการจัดทำวารสารร่วมกัน เคยร่วมกันยกฐานะความเป็นสโมสรนิสิตคณะ เคยร่วมสะท้อนแนวคิดของการไม่เห็นด้วยกับการยุบเลิกวิทยาเขตบางวิทยาเขต
ส่วนกีฬา ๘ วิทยาเขตนั้น ผมประจักษ์ชัดแจ้งว่าเป็นมหกรรมแห่งสัมพันธภาพอย่างแท้จริง ถึงแม้จะมีการแข่งขันเพื่อคัดตัวนักกีฬาจากวิทยาเขตต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยก็ตาม แต่ก็ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกิน “มิตรภาพและสายสัมพันธ์” ของผู้คน เพราะหลายชนิดกีฬาก็นำนิสิตแต่ละสถาบันคละเข้าเป็นทีมเดียวกันอยู่ดี มิหนำซ้ำในเวทีเหล่านั้น ในบางปีก็มีการสัมมนาผู้นำนิสิตและแสดงศิลปวัฒนธรรมแทรกแซมอยู่อย่างสนิทแน่นและเป็น “หนึ่งเดียว”
ขณะที่งานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ๘ วิทยาเขต ได้กลายเป็นเสมือน “สายธารประวัติศาสตร์” ที่บ่งบอกศักยภาพของความเป็นชาว “เทา-แดง” อย่างยิ่งใหญ่ เพราะแต่ละปีแต่ละสถาบันจะนำพาการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมของภูมิภาคต่างๆ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างมหัศจรรย์ จนกลายเป็นต้นกำเนิดของโครงการบางโครงการในระดับประเทศ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ในวิถีของความเปลี่ยนแปลงอันเป็นสัจธรรมนั้น งานกีฬา ๘ วิทยาเขตที่เริ่มในปี (๒๕๑๔) ได้ปรับเปลี่ยนเป็นกีฬา ๕ วิทยาเขต และเหลือเพียง ๓ วิทยาเขตตามลำดับ กระทั่งหลังการแข่งขันในปี ๒๕๓๗ กีฬาดังกล่าวก็ยุติลง เฉกเช่นกับการเดินทางของงานศิลปวัฒนธรรม ๘ วิทยาเขตที่ก่อเกิดในปี ๒๕๒๐ ก็ได้ยุติบทบาทลงในปี ๒๕๓๒ ด้วยเช่นกัน
ปี ๒๕๓๘ บุคลากรฝ่ายกิจการนิสิตของ “มศว” ผู้เป็นต้นน้ำแห่งสายสัมพันธ์ โดย ดร.สมสุข ธีระพิจิตร (รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิต) ได้มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องออกแบบกิจกรรมแห่งความสัมพันธ์กันอีกครั้ง ด้วยการนำไปเรียนปรึกษากับอธิการบดี (ศาสตราจารย์ ดร.พจน์ สะเพียรชัย) จนได้รับไฟเขียวสู่แนวคิดเรื่อง “กีฬาเพื่อนเก่า” ถัดจากนั้นคณะทำงานที่นำโดย อ.อมรพงศ์ สุธรรมรักษ์ (ผู้ช่วยอธิการบดี มศว) พร้อมทีมงานก็เดินสายสู่มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อชวนเชิญให้กลับมาร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมอันเป็น “สายธารความผูกพัน” ร่วมกัน และในช่วงที่เดินสายหารือกันนั้นก็ก่อเกิดวาทกรรมแห่งกิจกรรมนี้หลายชื่อ เช่น “เพื่อนเก่า,GREY GAME,เพื่อนเก่าเทา-งามสัมพันธ์”
จนในที่สุดก็มาลงตัวที่วาทกรรมที่ว่า “เทา-งามสัมพันธ์” ซึ่งยังคงคำว่า “เทา” อันเป็นสีแห่งรกรากและสายเลือดเดียวกันไว้อย่างหนักแน่น ส่วนคำว่า “งาม” นั้น ก็สื่อความหมายของความเจริญงอกงามของแต่ละสถาบัน หรือแม้แต่ความเจริญงอกงามของความรัก ความผูกพันและสายสัมพันธ์อันเป็นหนึ่งเดียวของผู้คน
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เทา-งามสัมพันธ์ ครั้งที่ ๑ จึงก่อเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๘-๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๘ ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้ (วิทยาเขตสงขลา) ประกอบด้วยกิจกรรมหลักๆ คือ การแข่งขันกีฬาและการแสดงศิลปะและวัฒนธรรม อาทิ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เปตอง บริดจ์ ขณะที่ด้านศิลปวัฒนธรรมนั้น ก็มีกิจกรรมหลากหลายชนิด เช่น ระบำเบญจสามัคคี การแต่งตัวประจำภาค การแสดงหนังตะลุง เป็นต้น
หมายเหตุ :
เรื่องเล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เขียนขึ้น
เนื่องในวาระ ๑๕ ปีเทา-งามสัมพันธ์
ไม่มีความเห็น