ปี ๒๕๓๕ ผมมาเรียน วปอ. รุ่น ๓๕๕ คือมี ปรอ. รุ่น ๕ มาเรียนร่วมด้วย ส่วน วปอ. เป็นรุ่น ๓๕ เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมเกิด culture shock คือรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากกลุ่ม รู้สึกว่าวัฒนธรรมของกลุ่มไม่ใช่แบบที่เรายึดถือ คือมันดูสูงส่งชอบกล ในขณะที่ผมชอบสภาพที่มันง่ายๆ ไม่เน้นพิธีรีตอง แต่เพื่อนๆ ในรุ่นเขาคงไม่รู้สึกอย่างนั้น เพราะท่าทางผมมันก็ดูโก้ไม่หยอกเหมือนกัน
วปอ. ย่อมาจาก วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ข้าราชการใฝ่ฝันอยากได้เข้าเรียนกันทุกคน เพราะถือว่าเป็นครีมของข้าราชการเท่านั้นที่จะได้เข้าเรียน โก้และได้เพื่อนได้ความรู้มาก ที่ผมได้มากที่สุดคือความรู้ ได้จากการฟังคำบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นจากการปฏิบัติจริงๆ และได้จากการเดินทางไปศึกษาสภาพจริงของประเทศทั่วประเทศครบทุกจังหวัด
ที่จริงภาพของ วปอ. ในสายตาของพวกนักวิชาการไม่ดีนัก เขาล้อว่าเป็น วิทยาลัยปัญญาอ่อน เคยมีรุ่นน้องที่เป็นอาจารย์ถามผมว่าไปเรียนแล้วผมได้อะไร ผมก็ตอบตามข้างบน แต่ความประทับใจที่ได้มันมีเกร็ดเยอะครับ
ตอนหลังมี วปอ. อีกแบบหนึ่ง ที่ชาวบ้านภาคอีสานกับที่พิจิตรเขาเข้าเรียนกัน ย่อมาจาก วิทยากรกระบวนการเพื่อการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง เขาเรียกว่า วปอ. ภาคประชาชน เป็นการเรียนรู้เพื่อซึมซับวิถีชีวิตแบบพอเพียงของชาวบ้าน
ผมสังเกตว่าเพื่อนนักศึกษา วปอ. เขาเน้นการมาหา connection เพื่อช่วยเหลือกันในการทำงานราชการ หรือในด้านธุรกิจ เห็นได้ชัดว่าข้าราชการระดับนี้ (รองอธิบดี อธิบดี รองปลัดกระทรวง นายพล ฯลฯ) ต้องมีวิธีรักษาเก้าอี้ไว้ อย่าให้มีใครมาเลื่อยขา หรือแย่งเก้าอี้ไป จนมีการพูดโจ๊กเรื่องนี้กันบ่อยๆ การมี connection ก็ช่วยความมั่นคงของตำแหน่งราชการได้
ผมเห็นคุณค่าของการเป็นข้าราชการมหาวิทยาลัยก็ตอนนี้ เห็นท่าทางของเพื่อนๆ วปอ. แล้วก็บอกตัวเองว่าเราโชคดี ที่ไม่มีตำแหน่งให้ต้องปกป้องดินแดนไม่ให้มีใครมาแย่งไป ไม่ต้องคอยไปเอาอกเอาใจนาย ภรรยานาย พ่อตัว พ่อตา แม่ตัว แม่ยายนาย แต่คิดอีกทีอาจไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ เขาอาจจะอยู่ในวัฒนธรรมนี้มาจนชิน และที่เติบโตในตำแหน่งขนาดนี้ นอกจากความสามารถในการทำงานแล้ว เขาคงจะได้พัฒนาความสามารถทางสังคม ในสังคมราชการไทย จนทำได้เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม คือไม่เป็นเรื่องลำบากสำหรับเขา ผมว่าวิธีมองสังคมราชการไทยแบบหลังน่าจะถูกต้องกว่า
ผมประทับใจตอนไปทัศนศึกษาที่นิวยอร์ค ไปดูระบบเก็บน้ำเสีย และบำบัดน้ำเสียของนครนิวยอร์ค ซึ่งเป็นระบบมหึมา ไม่เคยคิดว่าจะต้องใหญ่โตซับซ้อนปานนั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ได้ คือเข้าใจระบบป้องกันประเทศ ระบบสงครามมากขึ้น จากการฟังการบรรยาย และการไปดูงานทั้งใน และนอกประเทศ เห็นทั้งภาพที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อนของระบบป้องกันประเทศของไทย ที่จริงทางทหารเขาก็พยายามปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ว่าความมั่นคงของประเทศในยุคใหม่ไม่ใช่การปกป้องหรือต่อสู้แบบทำสงครามอาวุธ แต่จะเป็นการต่อสู้ทางเศรษฐกิจ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือความรู้ แต่ผมมองว่ามุมมองของเขายังลอกมาจากฝรั่งมากไป ไม่ใช่มาจากการคิดใคร่ครวญโดยคนไทยกันเอง
ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักศึกษา วปอ. ตอนผมเรียนประมาณล้านบาท มีทริปไปต่างประเทศ ๓ ครั้ง ตอนทริปยาว แยกย้ายกันไป ๘ สาย ผมไปสาย ๓ อเมริกา แคนาดา เม็กซิโก ที่เลือกสายนี้เพราะอยากไปเยี่ยมลูกสาวที่เพิ่งได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนชั้นหลัง ม. ๖ เพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย ที่ Philips Exeter Academy รัฐคอนเน็คติกัต ผมถามตัวเองตลอดมา ว่าใช้เงินภาษีชาวบ้านไปล้านบาทเพื่อเรียน วปอ. แล้วผมได้เอาความรู้มาใช้ประโยชน์คุ้มค่าไหม ตอบยากนะครับ คำถามนี้ ผมคิดว่าถ้าเราไปตอนอายุไม่มากนัก สัก ๔๐ ปี จะมีเวลาใช้ความรู้ที่ได้ มาทำประโยชน์แก่บ้านเมืองได้มากกว่า เพื่อนบางคนเรียน วปอ. จบมาไม่กี่ปีก็เกษียณอายุราชการ บางคนยังทำราชการก็จริง แต่ "ตำแหน่งประจำ" ซึ่งหมายความว่าไม่มีงานให้ทำ สำหรับผมยังทำงานให้สังคมแบบเต็มเวลา มาจนบัดนี้ก็ ๑๔ ปีให้หลังแล้ว ก็น่าจะได้ใช้ความรู้ที่ได้มาประกอบในการคิดไตร่ตรองการงานไม่มากก็น้อย
วิจารณ์ พานิช
๒๓ กค. ๔๙