ขอบคุณอ.วัฒนารี นักศึกษากิจกรรมบำบัด (นศ.กบ.) ม.มหิดล ชั้นปีที่ 2 และ 4 ที่ระดมความคิดตอบโจทย์ที่เกี่ยวข้องกับมาตราฐานการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัดฯ
คณะกรรมการวิชาชีพสาขากิจกรรมบำบัด
สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำ
"มาตราฐานการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัด" เมื่อวันที่ 14 มีนาคม
2554 คลิกอ่านได้จาก http://www.mrd.go.th/AC/view-info.asp?informationid=12
โจทย์หลัก: เราจะพัฒนาวิชาชีพกิจกรรมบำบัดไทยได้อย่างไร
โจทย์ย่อยที่
1: พัฒนาการปฏิบัติงานและผลลัพธ์ในผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายอย่างไร
- ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบในการทำกิจกรรม มากกว่า
การทำกิจกรรมในการดำเนินชีวิต
- ให้ตระหนักถึงความสามารถและการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตมากกว่า
(Top down approach)
- การประเมินหรือดูความสามารถของผู้รับบริการ
ที่สามารถทำได้โดยการคงความสามารถ หรือปรับกิจกรรม สิ่งแวดล้อม
ให้สามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตต่างๆ ได้
โดยกิจกรรมที่ทำจะต้องเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่า
เพื่อให้ผู้รับบริการเกิด self-esteem (ความภาคภูมิใจในตนเอง)
- คำนึงถึงการทำกิจกรรมในช่วงวัยนั้นๆ เช่น การทำงาน
- แผนการปฏิบัติงานทั้งเชิงรับและเชิงรุก เช่น การทำงานในโรงพยาบาล
ควรมีการติดตามผล การเยี่ยมบ้าน
การปฏิบัติงานในชุมชน ทั้งการประเมิน การให้การบำบัดฟื้นฟู
และการประเมินซ้ำ
- ระบบการทำงานในโรงพยาบาล จะต้องประสานงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพอื่น
เช่น พยาบาล โดยให้ผู้รับบริการได้ทำกิจกรรมจริงในโรงพยาบาล เช่น
การช่วยเหลือตนเอง
- การจัดระบบให้ความรู้ เกี่ยวกับการดูแลผู้รับบริการให้ผู้ดูแล
หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดในครอบครัว
- นักกิจกรรมบำบัดต้องหาความรู้ เทคนิคที่ทันสมัย
หรือสอดคล้องกับทีม
- นักกิจกรรมบำบัดประชาสัมพันธ์วิชาชีพของตนเองให้กลุ่มผู้รับบริการ
และทีมสหวิชาชีพอื่นได้ทราบข้อมูล
- มีกระบวนการผลักดันการมีส่วนร่วมการทำงานกับชุมชน community
participation
- มีการสร้าง Clinical Practice Guideline, CPG
ในกลุ่มผู้รับบริการอื่นๆ ซึ่งต้องรวมถึง EBP
- ใน CPG ควรมี Frame of Reference, FoR ที่ใช้ควบคู่กัน
โจทย์ย่อยที่
2: พัฒนาการปฏิบัติงานและผลลัพธ์ในผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตใจอย่างไร
- Occupational Therapist, OT หรือ Occupational Therapy students,
OTs ปรับมุมมองและทัศนคติ เจตคติ
จะต้องมองผู้รับบริการเป็นบุคคลคนหนึ่งที่นักกิจกรรมต้อง/ตั้งใจให้ความช่วยเหลือ
- ประเมินสิ่งแวดล้อม ที่อยู่หรือบุคคลรอบข้าง เช่น ครอบครัว
(social support system)
- OT เข้าไปมีบทบาทในครอบครัว ชุมชน ให้เข้าใจและยอมรับ
ซึ่งเป็นการปรับทัศนคติของสังคม
- OT มีส่วนร่วมในการนัดพบญาติ หรือการลงสู่ชุมชน
รวมทั้งการทำงานเป็นทีมร่วมกับวิชาชีพอื่น เช่น แพทย์ พยาบาล
ผู้รับบริการ ญาติ
- OT จะลดข้อจำกัดการทำงานในโรงพยาบาลจิตเวชได้อย่างไร
- ระบบที่ทำงานประจำมากเกินไป
อาจต้องเปลี่ยนเป็นรูปแบบการทำงานสู่ชุมชนเพิ่มขึ้น
- การเก็บข้อมูลพื้นฐานทางกิจกรรม เพื่อนำเสนอผลแก่วิชาชีพอื่น
(เพิ่มการวิจัย)
- การทำงานร่วมกับชุมชน โดยให้ชุมชนเป็นผู้ดูแลผู้รับบริการในชุมชน
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น อสม รพสต
โจทย์ย่อยที่
3: พัฒนาการปฏิบัติงานและผลลัพธ์ในผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
(เด็ก) อย่างไร
- เริ่มจากการดำเนินของโรคในผู้ป่วยเด็ก การเลี้ยงดูของพ่อแม่
การสืบค้นข้อมูลที่จำเป็นต่อการฟื้นตัวของโรคจากผู้ดูแลของเด็ก
-
การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปกครองและนักกิจกรรมบำบัด
ในหัวข้อ ความต้องการ ความคาดหวัง
และความพร้อมในการพัฒนาความสามารถของเด็ก
ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการทางกิจกรรมบำบัด ตัวอย่าง คือ
นักกิจกรรมบำบัด/ผู้ปกครองบันทึกทักษะการทำกิจกรรมของเด็ก/ลูกในสมุด
เพื่อติดตามการพัฒนาที่มีความก้าวหน้าตามลำดับ
- สร้างแนวทางการสื่อสารให้พ่อแม่เข้าใจ เชื่อถือ ไว้ใจ
และฝึกกิจกรรมบำบัดที่บ้านด้วยตนเอง
(Child & family approach – goal setting, home program &
cooperative intervention plan)
- กระบวนการช่วยเหลือผู้ปกครอง (Psychological support)
ให้เกิดการยอมรับทางจิตวิทยาและปรับความคิดในการพัฒนาเด็กร่วมกับนักกิจกรรมบำบัด
รวมทั้งการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น
ฝึกให้เห็นว่าเด็กใส่รองเท้าได้ หลังจากที่ไม่เคยทำมาก่อน
- ควรอธิบายเหตุผลทางคลินิกที่ชัดเจนของการให้บริการทางกิจกรรมบำบัด
เช่น การฝึกทักษะและบทบาทการเล่นของเด็ก
เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจบทบาทที่แตกต่างกันระหว่างนักกิจกรรมบำบัด
นักจิตวิทยา ครูการศึกษาพิเศษ และวิชาชีพอื่นๆ
-
นักกิจกรรมบำบัดควรใส่ใจในการสร้างกิจกรรมแบบเพิ่มแรงจูงใจสู่ความภาคภูมิใจในตัวเด็กด้วย
รวมทั้งการกระตุ้นบทบาทในชีวิตของเด็กได้อย่างมั่นใจ เช่น
เด็กมีบทบาทเป็นลูก นักเรียน และคนดี
โดยมีการติดตามการแสดงความสามารถของเด็กในบริบทจริง เช่น
ในโรงเรียน
- การส่งเสริมการพัฒนาเด็กในชุมชนนั้น
นักกิจกรรมบำบัดควรประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบงบประมาณในการพัฒนาเด็กในชุมชน
และเปิดโอกาสให้เกิดศูนย์การเรียนรู้ด้วยการทำกิจกรรมบำบัดด้วยตนเอง
(Self-management programs)
ในชุมชนผ่านความร่วมมือในผู้ปกครองแต่ละครอบครัว
พร้อมติดตามความก้าวหน้าของเด็กโดยสร้างเครือข่ายชุมชน เช่น
กลุ่มพ่อแม่ของเด็กที่มีความบกพร่องเหมือนกันเกิดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงวิธีการ
วางแผน ให้ความรู้ ในการพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง
-
การประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมบำบัดกับการพัฒนาเด็กในชุมชนก็เป็นโครงการที่สำคัญ
อาจเริ่มเครือข่ายจากกลุ่มพ่อแม่ของเด็กสู่การป้องกันโรคในระดับชุมชน
– พัฒนานักกิจกรรมบำบัด พัฒนาผู้รับบริการทางกิจกรรมบำบัด
และพัฒนาการมีส่วนร่วมในชุมชน
โจทย์ย่อยที่
4: พัฒนาการปฏิบัติงานและผลลัพธ์ในผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
(ผู้สูงอายุ) อย่างไร
- นักกิจกรรมบำบัดมุ่งเน้นการเพิ่มกำลังใจ ความเชื่อมั่นในสมรรถนะ
ความมั่นใจ (องค์ประกอบของสุขภาพจิต) ในผู้สูงอายุ
- ในบริบทของกิจกรรมบำบัดที่แตกต่างกัน เช่น รพ. ชุมชน เป็นต้น
แต่นักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทในระบบการสนับสนุนทางสังคม (Social Support
System, SSS) การมีกิจกรรมยามว่าง
การมีบทบาทของผู้สูงอายุในสังคม
- แนวโน้มของประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น
นักกิจกรรมบำบัดจะมีบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (Long term care)
โดยส่งเสริมการทำกิจกรรมยามว่างสู่อาชีพที่ชอบ มีคุณค่า และเป็นผลิตผล
(Productivity) จากทักษะความสามารถที่ผู้สูงอายุมีอยู่
และนำมาสู่การเล่าความรู้แก่ลูกหลาน
- การทำกิจกรรมจะลดลงตามอายุที่มากขึ้นเกิน 80 ปี
นักกิจกรรมบำบัดควรสังเกตรูปแบบของกิจกรรมที่ไม่ออกแรงมาก
แต่มีการคิดทบทวนอดีตที่ประสบความสำเร็จ พร้อมๆ
กับการบอกเล่าสู่ลูกหลาน อาจบอกให้ลูกหลานช่วยกันทำกิจกรรม
- การส่งเสริมเปิดชมรมผู้สูงอายุ เช่น
การสนับสนุนกลุ่มทำอาหารภายใต้การดูแลของนักกิจกรรมบำบัด
ซึ่งผู้สูงอายุอาจไม่มีโอกาสได้ทำอาหารที่บ้าน
เนื่องจากญาติกลัวอันตราย
- กลุ่มกิจกรรมอาจปรับตามสมาชิกที่มีอายุใกล้เคียวกัน
มีอาการของโรคคล้ายกัน
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับรุ่นถ่ายทอดสู่รุ่นอื่น ๆ เช่น Baby
Boomer สู่ Generation X
- ควรประเมินระดับความคิดความเข้าใจที่แตกต่างกันในผู้สูงอายุ
(Cognitive Levels) เพื่อจัดกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้เหมาะสม
- ควรนำเสนอกรอบอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เช่น
Psycho-Spiritual Integration, PSI
เน้นจิตวิญญาณและคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุก่อนใกล้อำลาโลกนี้
- ผู้สูงอายุจะมีความเชื่อ ความคิด ศาสนา วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ดังนั้นก่อนตายของผู้สูงอายุ นักกิจกรรมควรเพิ่ม Well-being
จนวาระสุดท้าย เช่น ผู้สูงอายุท่องบทสวดและคิดสิ่งดีๆ
เพื่อไปเกิดในภพภูมิที่ดี (บทบาทผู้ดูแล และสหวิชาชีพ)
แต่นักกิจกรรมบำบัดพยายามจัดกิจกรรมการดำเนินชีวิตตามความต้องการสุดท้ายของผู้สูงอายุ
ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมจิตใจให้พร้อมต่อการสูญเสียของญาติด้วย