เทคนิคและวิธีการเขียนเฟรมในบทเรียนโปรแกรมชนิดเส้นตรง
เฟรม (Frame) คือ หน่วยย่อยของบทเรียนโปรแกรม การเขียนเฟรมโดยปกติผู้เขียนจะมีช่องว่างไว้ให้นักเรียนเติมคำเติมข้อความหรือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมดก็ได้ สิ่งที่ผู้เขียนจะต้องคำนึงและระลึกอยู่เสมอในการเขียนเฟรม ก็คือ ในแต่ละเฟรมจะต้องจบในตัวเอง หรือเมื่อผู้เรียนเรียนจบในแต่ละเฟรมแล้วผู้เรียนจะต้องได้ความรู้ตามหน่วยของความรู้ย่อยสุดท้ายที่เราแยกไว้เดิมก่อนที่จะนำมาสร้างเฟรม
ในการเขียนเฟรมโดยปกติเฟรมที่เขียนขึ้นจะต้องไม่ยาวเกินไป เพราะอาจจะทำให้ผู้เรียนสับสน และจะต้องไม่สั้นจนเกินไปจนกระทั่งทำให้ขาดข้อความสำคัญบางตอนหรือข้อความบางอย่างที่ควรอธิบายในการเขียนเฟรม โดยทั่วไปถ้าหากเป็นเฟรมที่ให้ข้อสนเทศจะมีความยาวของข้อความไม่เกิน 2-4 บรรทัดของหน้าพิมพ์ปกติ และการเว้นช่องของกิจกรรมที่จะสร้างเป็นสิ่งเร้าสำหรับผู้เรียนในเฟรมหนึ่งๆ จะมีไม่เกิน 2-4 ช่องเช่นเดียวกัน ในแต่ละช่องของกิจกรรมที่เป็นสิ่งเร้านั้นถ้าเป็นเฟรมตั้งต้น ต้องแน่ใจว่าเราเว้นไว้เพื่อให้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากเฟรมตั้งต้นเท่านั้นไปใช้ในการตอบ
ในการเขียนเฟรมในบทเรียนโปรแกรมนั้นเป็นการจำลองรูปแบบของการสอนและการอธิบายของครูให้อยู่ในรูปตัวหนังสือที่สามารถอ่านให้ทำความเข้าใจด้วยตนเองและในการจำลองรูปแบบอธิบายเพื่อสร้างเฟรมนี้มีข้อที่ควรปฏิบัติสำหรับผู้สร้างดังนี้
ภาพที่ 1 ตัวอย่างการเขียนเฟรมบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง
1. อย่าบรรยายให้มากจนเกินไป การบรรยายในแต่ละเฟรมมากเกินไปในบางครั้งผู้เรียนจะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ในบางครั้งผู้สร้างหวังดีต่อผู้เรียนกลัวว่าผู้เรียนจะไม่เข้าใจจึงพยายามที่จะบรรยายทุกแง่ทุกมุมให้กับผู้เรียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะครูยึดมั่นอยู่ในหลักการที่ว่า “จำลองรูปแบบการสอน” แต่ครูไม่ได้คิดว่าการสอนจริงนั้น การอธิบายโดยละเอียดหลายแนวเมื่อครูอธิบายแล้วคำพูดของครูก็หมดไปด้วยจึงไม่ทำให้เกิดการเบื่อ แต่เวลาสร้างบทเรียนแบบโปรแกรมนั้น คำอธิบายหรือข้อสนเทศผู้เรียนสามารถอ่านซ้ำเพื่อทำความเข้าใจได้ การที่จะเขียนอธิบายมากน้อยเพียงใดไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวขึ้นอยู่กับผู้เสร้างที่จะใช้วิจารณญาณในการพิจารณากฎเกณฑ์แก้ไขในขั้นการทดสอบก็ได้
2. อย่าแนะทางหรือแนะแนวในการตอบให้มากเกินไป ในการสร้างบทเรียนแบบโปรแกรมนั้น กิจกรรมที่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในบทเรียนก็คือ การเขียนตอบ การเลือกคำตอบ กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ความคิด ใช้วิจารณญาณเพื่อให้เกิดความรู้ความคิด ทักษะและทัศนคติ ตามวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน ฉะนั้นผู้สร้างบทเรียนจะต้องพิจารณาว่ารายละเอียดของสิ่งเร้าและการสนองตอบในบทเรียนแบบโปรแกรมนั้นจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการใช้ความคิดของตนเองในการประกอบกิจกรรมด้วย
ภาพที่ 2 ตัวอย่างเฟรมบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง
3. ในการสร้างเฟรมนั้นเกิดจากการที่เราแบ่งความคิดรวบยอดออกเป็นส่วนย่อยๆ จนได้ส่วนย่อยสุดท้ายที่เรานำมาเขียนอธิบายในเชิงการสอน และเว้นช่องหรือวิธีการให้ประกอบกิจกรรม นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าในแต่ละเฟรมนั้นจะต้องมีความรู้ที่ให้กับผู้เรียนเพียงจำกัดไม่มีมากมายหลายอย่างหลายชนิดจนเกิดความสับสนต่อผู้เรียน ฉะนั้นข้อควรคำนึงประการที่ 3 สำหรับผู้สร้างบทเรียนโปรแกรมก็คือ อย่าให้ผู้เรียนรู้มากจนเกินไปในแต่ละเฟรม
4. ข้อควรคำนึงอีกประการหนึ่งก็คือ อย่าให้มีความรู้ใหม่สองอย่างในเฟรมเดียวกันถ้าไม่จำเป็น เพราะในการสร้างบทเรียนแบบโปแกรมนั้นเราเรียงลำดับเนื้อหาไปตามขั้นตอนจากง่ายไปหายากและในการที่จะสอนความรู้ใหม่นั้นจะต้องให้มีความสัมพันธ์กับความรู้เดิมให้กลมกลืนอย่าให้มีความรู้ใหม่ถึงสองอย่างเข้าไปสร้างความสับสนในแนวความคิดของผู้เรียน
การเขียนเฟรมแบบเส้นตรงนั้น มีวิธีการเขียนได้หลายแบบด้วยกัน ทั้งนี้ผู้เขียนจะต้องพิจารณาถึงระดับของอายุหรือวัยของผู้เรียน ระดับความสามารถทางสติปัญญาประกอบการพิจารณาด้วยและผู้เขียนบทเรียนแบบโปรแกรมจะต้องระลึกเสมอว่า บทเรียนแบบโปรแกรมเป็นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข โดยมีสิ่งเร้าและการสนองตอบและในการสร้างนั้นผู้สร้างเองก็สามารถดัดแปลงใช้ผสมกับสื่ออื่นตามแต่จะคิดสร้างและดัดแปลงให้เหมาะสม เทคนิคชนิดหนึ่งที่เรานำมาใช้คือ เทคนิคการเขียนเฟรมแบบจำแนก (Discrimination Frame Sequence) ซึ่งการเขียนเฟรมแบบจำแนกนี้ ลักษณะคล้ายกับการสร้างข้อทดสอบแบบมีตัวเลือกให้เลือกตอบ ผู้เรียนกับบทเรียนที่ใช้หลักการเขียนเฟรมแบบจำแนกจะใช้ข้อสนเทศจากเฟรมพิจารณาและเลือกข้อความที่คิดว่าถูกต้องที่สุด ข้อเลือกตอบนั้นอาจมีลักษณะของข้อความที่ถามว่า ใช่หรือไม่ใช่ เพียงสองประการก็ได้หรืออาจมีทั้งตัวถูกและตัวลวงเหมือนการสร้างข้อสอบก็ได้ ในการเขียนเฟรมแบบจำแนกนี้สิ่งหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็คือเกณฑ์ที่นำมาใช้สำหรับให้เป็นตัวเลือกนั้นจะต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ นอกจากลักษณะการสร้างเฟรมแบบจำแนกแล้วยังมีอีกวิธีการหนึ่งในการสร้างเฟรม คือ วิธีการกำหนดรายละเอียด(List) เป็นวิธีการที่แจกแจงรายละเอียดแล้วให้ผู้เรียนแยกส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระหรือวิธีการแก้ปัญหาออกมาจากรายละเอียดที่ปรากฏบนเฟรมนั้น
เอกสารอ้างอิง
วิเชียร ชิวพิมาย. บทเรียนแบบโปรแกรม. ขอนแก่น : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2544.
เยี่ยมเลยครับ ;)...