คำว่าอพยพเป็นคำกริยา มีวามหมายตามพจนุกรมราชบัณฑิตยสถาน ว่า ย้ายครอบครัวจากถิ่นหนึ่งไปอยู่อีกถิ่นหนึ่ง หรือยกพวกย้ายจากถิ่นเดิมไป
ในภาวะมหาอุทกภัยประเทศไทยขณะนี้ คำพูดที่กระเทือนใจประชาชนผู้ประสบภัยมากที่สุดคำพูดหนึ่งคือ คำว่า อพยพ เหตุเพราะความไม่ปลอดภัย และไม่สะดวกในการให้ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมทั้งอาสาสมัครที่มากด้วยจิตอาสาด้วย
ดังนั้นเป็นผลให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ประสบภัยในทุกๆที่รวมทั้งญาติพี่น้องของผมที่มีบ้านเรือนอยู่ในเขตภาษีเจริญ และเขตตลิ่งชัน ต้องอพยพหนีมหาอุทกภัยครั้งนี้ด้วย
ญาติผมดังกล่าว เป็นผลพวงจากที่น้าชายมารับราชการเป็นตำรวจใน กทม. ได้มีครอบครัวและตั้งหลักปักฐานอย่างมั่นคง ลูกๆได้รับการศึกษา รับราชการและมีครอบครัว มีฐานะมั่นคงดรงชีวิตอย่างมีความสุข แต่เมื่อมาเจอมหาอุทกภัยจำเป็นต้องอพยพพาลุกหลานจำนวน ๗ ชีวิตเดินทางไกลไปพักอาศัยอยู่กับญาติที่บ้านกอกหวาน ตำบลโพธิศรี จังหวัดศรีเกษ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ตัวเองก็หยุดงานลูกหลานก็หยุดเรียน ถ้ามองเฉพาะวิกฤตก็สาหัสมากๆ แต่มองถึงโอกาสก็ดีไม่น้อย เพราะได้มีโอกาสมาสัมผัสกับธรรมชาติท้องไร่ท้องนาได้เห็นชีวิตชาวนา เห็นความยากง่ายในการทำนา ได้เลี้ยงวัวเลี้ยงควายต้อนควาย ต้อนวัวเข้าคอกในยามเย็น เป็นบรรยากาศที่คนกรุงเทพฯหาไม่พบแน่นอน
กินข้าวที่ปลอดสารพิษ(ทำนาที่ใช้ปุ๋ยชีวภาพ) กินผักกินปลาธรรมชาติและผลิตผลทางการเกษตรที่ลงมือทำเอง สอบถามลูกหลาน ได้ความว่า มีความสุขกว่าอยู่ที่บ้านเขตภาษีเจริญ และเขตตลิ่งชันเป็นไหนๆ ลูกหลานอ้วนท้วนแก้มเป็นพวง ที่เคยคิดว่าน้ำท่วมเป็นวิกฤต กลับกลายเป็นโอกาส ญาติๆที่เคยห่างไกลทั้งระยะทางและเวลาก็ได้มาอยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนาน มหาอุทกภัยใช่จะเป็นแต่วิกฤตก็ไม่ใช่เสียแล้ว
มหาอุทกภัยท่วมประเทศไทยครั้งนี้สาหัสนัก สงสารประเทศไทย สงสารในหลวง และปวงพสกนิกรทั้งมวล สงสารเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สงสารรัฐบาล สงสารนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งนัก
แทนที่จะมัวแต่ตำหนิ และให้โทษให้ร้ายกัน เรามาให้กำลังใจกัน ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน เอื้ออาทรต่อกัน เหมือนครอบครัวและญาติของผมที่บ้านนอก บ้านกอกหวาน ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษดีกว่าไหม???????
ไม่มีความเห็น