สัปดาห์ที่แล้ว ผมหลบไปคุยกับชาวบ้านคนเดียวโดยไม่มีเจ้าหน้าที่และน้องนิสิตติดสอยห้อยตามไปด้วย เรื่องที่พูดคุยกันนั้นก็คือเรื่อง “จุลกฐิน” หรือ “กฐินแล่น” ซึ่งผมเรียกเป็นวาทกรรมนอกชั้นเรียนว่า “กฐินโบราณ”
ผมเจตนา "บินเดี่ยว" เพราะต้องการไปสร้างกระบวนการบางอย่างแบบเงียบๆ ถัดจากนั้นจะปล่อยให้นิสิตและเจ้าหน้าที่จับมือกันลงประชุมร่วมกับชาวบ้านด้วยตนเองในแบบ “เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง”
ทั้งปวงนั้นคือสิ่งที่ผมตั้งใจและจงใจล้วนๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้พิสูจน์ตัวเอง ไปพร้อมๆ กับการพิสูจน์ระบบ หรือวัฒนธรรมองค์กรแบบ “สอนงาน สร้างทีม” ที่ผมและพวกเขาได้ร่วมบุกเบิกและสร้างสรรค์ไว้ว่าวันนี้เดินหน้าได้ไกลแค่ไหนแล้ว ยิ่งในห้วงยามที่ผมก้าวลงมาจากตำแหน่งเช่นนี้ ยิ่งเป็นจังหวะที่ดีในการจะพิสูจน์สำคัญว่าพวกเขา “เก่งและแกร่ง” แค่ไหน รวมถึงมีความเป็นทีมที่ทรงพลังหรือเปล่า
ในค่ำคืนนั้น ผมและชาวบ้านพูดคุย (โสเหล่) กันอย่างออกรสออกชาติ ชาวบ้านตื่นเต้นกับวิถีกฐินโบราณที่จะมีขึ้น มีผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมากมานั่งล้อมวงพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ผมเห็นชัดว่าในแววตาและคำพูดนั้นแจ่มชัดและมีพลังอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งแต่ละท่านพยายามร้อยเรียงความทรงจำเกี่ยวกับการ “ทอดกฐิน” ในยุคเก่าก่อนให้ลูกหลานฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ครับ,ชาวบ้านเห็นพ้องที่จะทอดกฐินแบบโบราณ ผ่านการเย็บด้วยมือและย้อมสีจากเปลือกหรือแก่นไม้แบบธรรมชาติๆ รวมถึงการไม่ล้มวัวล้มควาย แต่เน้นความสมถะพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ใครมีอะไรก็จะเก็บกำหอบหิ้วมาบริจาคร่วมกัน อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ผัก ปลา พริก มะเขือ มะพร้าว มะนาว ฯลฯ
และที่สำคัญก็คือ เราเห็นพ้องกันว่า กฐินโบราณครั้งนี้จะขับเคลื่อนในแบบบูรณาการ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เชื่อมโยงจากอดีตสู่ยุคสมัยปัจจุบัน กล่าวคือยังคงมีการตัดเย็บและย้อมจีวรแบบดั้งเดิม ธง หรือตุง หรือแม้แต่เครื่องกฐินต่างๆ ก็จะสร้างหรือผลิตขึ้นจากมือ หรือไม่ก็นำมาจากครัวเรือนต่างๆ โดยจะไม่มีการจัดซื้อมาจากท้องตลาดให้สิ้นเปลือง เรียกได้ว่า “มีแค่ไหน เอาแค่นั้น” (ใจนำพา ศรัทธานำทาง)
เช่นเดียวกับมหรสพสมโภชนั้น ก็จะจัดในแบบบูรณาการจำลองให้เห็นรอยต่อของยุคสมัย ผ่านกิจกรรมแห่กลองยาว รำวงชาวบ้าน และการสอยดาว เพื่อระดมทุนเข้าวัด
การพูดคุยกันในค่ำคืนนั้น ผมฝากให้ชาวบ้านได้ทบทวน "ภูมิปัญญา" หรือ "คลังความรู้" ในชุมชนว่ามีอะไรพอที่จะสร้างเป็นฐานให้นิสิต หรือแม้แต่ผู้คนในหมู่บ้านให้เรียนรู้ร่วมกันได้บ้าง แต่ผมไม่ก้าวล้ำว่าควรมีอะไร เพียงแต่ฝากให้กลุ่มเครือข่ายชุมชนที่เคยเป็นแกนนำในปีที่แล้วได้คอยทำหน้าที่ถ่ายทอดและประคับประคองอยู่ใกล้ๆ
ครับ,แรกเริ่มชาวบ้านดูเกรงใจและสงสารนิสิตค่อนข้างมาก เพราะมองว่านิสิตคงไม่คุ้นชินกับกระบวนการ หรือแม้แต่อาจเบื่อหน่ายต่อกระบวนการที่จะมีขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่ยืนยันว่าอยากให้นิสิตได้เรียนรู้ความเป็นต้นน้ำ หรือปฐมบทของแต่ละเรื่องให้ได้มากที่สุดจริงๆ (และนั่นก็ไม่ได้หมายถึงแต่เฉพาะนิสิตเท่านั้น หากแต่รวมถึงทุกคนในหมู่บ้านนั้นๆ ด้วย...)
ดังนั้น ทุกอย่างจึงลงเอยด้วยกระบวนการที่จะนำพานิสิตและลูกหลานกลับไปสู่ “ต้นน้ำ” ในเรื่องต่างๆ ให้ได้ไกลที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลงแขกเกี่ยวข้าวเพื่อนำมาถวายวัดและใช้หุงเป็นข้าวปลาอาหารในบุญกฐิน โดยจะผ่านกระบวนการเกี่ยว,ทาลาน,นวดข้าวด้วยมือไปแบบเสร็จสรรพ...
นอกจากนั้นยังรวมถึงการจับปลา เก็บผัก บีบขนมจีน ทำพลุโบราณ ทำโคมแบบโบราณ ทำว่าวและสะนูว่าว สานตะกร้า และอื่นๆ อีกจิปาถะ ก็ล้วนแล้วแต่มีสัญญาใจที่หนักแน่นระหว่างผมกับชาวบ้านว่าจะทำเช่นนั้นจริงๆ โดยหากไม่ได้ครบถ้วน ก็ขอให้เห็นเค้าเดิมของวิถีวัฒนธรรมให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถปะติดปะต่อให้เกิดกระบวนทัศน์เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของประเพณีและวัฒนธรรมไทย
...
๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
ริมกำแพงวัดศรีสุข
บ้านดอนหน่อง ต.ขามเรียง
อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
กว่าข้าว จะกลายมาเป็น แป้งข้าวเจ้าอัดแท่งในซองมาม่า..
หวังสิ่งที่อาจารย์ริเริ่มไว้ สร้างประกายในใจศิษย์เหล่านี้ไปตลอดคะ
สวัสดีครับ คุณป.
ผมเชื่ออยู่อย่างว่า การสอนคนผ่านกระบวนการทำนานั้น เป็นการสอนคุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะมีกระบวนการขั้นตอนอย่างชัดเจน แต่มีระยะเวลาของการเดินทางในแต่ละขั้นตอนที่ยาวนานพอที่จะสอนให้คนเราเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆ รวมถึงเห็นคุณค่าของการดูแล,เฝ้ารอ...หรือแม้แต่แบ่งปัน
ครับ,การทำนา คงไม่ใช่อาชีพ
หากแต่หมายถึง "วัฒนธรรม" และ "มรดกของสังคม" - หรือมรดกของมนุษยชาติ นั่นเอง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ธนิตย์ สุวรรณเจริญ
ค่ำคืนที่ผ่านมา ผมแอบเข้าไปในงานแบบเงียบ เฝ้าดูรำวงโบราณและการสอยดาวเพื่อระดมทุนเข้าวัด พอพิธีกรประกาศให้ผมโชว์ตัวเท่านั้นแหละ อดีตลูกทีมถึงกลับแซวผ่านเวทีแบบขำๆ ประมาณว่า "ถ้ารู้ว่าผมมา คงไม่กล้าพูดกล้าจาและกล้าทำอะไรเบิ่นๆ ให้ชาวบ้านได้หัวเราะสนุกสนานแบบนี้หรอก..."
สวัสดีครับ คุณKa-Poom
ความอบอุ่น สมถะ บางทีเราต้องหันกลับไปเรียนรู้จากวิถีเดิมๆ เพื่อให้สามารถประยุกต์สู่ปัจจุบันได้ -นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อ ...
ขอบคุณครับ