วันดีวันร้ายวันไหน ผมก็คือครู
หลิกรอกระ
ภาพโดย แอ้โดโด้
เพราะการสู้รบที่ชายแดนประเทศพม่าเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ผมต้องอพยพย้ายถิ่นที่อยู่และหยุดงานสอนหนังสือ โรงเรียนเก่าของผมถูกยึดและแปลงสภาพไปเป็นที่พักทหาร นักเรียนเก่าของผมกระจัดกระจายกันไปในฝั่งไทยและฝั่งพม่า ตัวผมกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลลูกเล็ก ๆ ทั้งสามอยู่เงียบ ๆ เพื่อนหลายคนทะยอยโทรศัพท์มาหา ไถ่ถามว่าผมทำงานอะไรอยู่ เมื่อตอบไปว่าผมอยู่บ้านช่วยภรรยาเลี้ยงลูก บางคนก็ชวนผมให้เข้าไปทำงานในเมืองที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่าที่ผมเคยได้ บางคนบอกว่าเอ็นจีโอที่ทำงานอยู่แถวชายแดนให้ค่าตอบแทนสูงกว่าการเป็นครูมากไม่รู้กี่สิบเท่า และคุณสมบัติของผมน่าจะพอไปสมัครได้อยู่ และบางคนก็บอกว่าน่าจะถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจสมัครไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในต่างประเทศได้แล้ว เพื่อที่ผมจะได้มีสิทธิเสรีภาพและสร้างอนาคตทางการศึกษาให้ลูก ๆ ของผม
คำเชิญชวนเหล่านี้เย้ายวนนักสำหรับคนที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอันเจ็บปวดและกะทันหันอย่างผม แต่ผมก็ไม่ได้ตัดสินใจ ผมยังไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไรเลย ผมได้แต่รอคอยอะไรบางอย่างที่ในขณะนั้นผมเองก็ไม่สามารถพูดเป็นคำพูดได้
แล้ววันหนึ่ง ครูใหญ่ของโรงเรียนสำหรับเด็กอพยพที่อยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่งได้เข้ามาหาผมที่บ้าน เขาบอกว่า “ที่โรงเรียนเรากำลังต้องการครูไปช่วยสอนหนังสือ คุณเป็นครูมาตลอดชีวิต คุณต้องช่วยได้แน่ ๆ คุณจะไปช่วยสอนที่โรงเรียนเราได้ไหม ?” ผมทบทวนถึงปัญหาในครอบครัว ตั้งแต่เราต้องอพยพมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ภรรยาผมต้องทำงานหนักมากที่จะเลี้ยงลูกทั้งสามคนและทำงานบ้านต่าง ๆ เพราะไม่มีเพื่อนบ้านและเด็กนักเรียนที่จะช่วยอุ้มลูก เก็บผัก ตักน้ำ การที่ผมอยู่บ้านด้วยจึงทำให้เธอสบายขึ้น ลูก ๆ ได้รับการเอาใจใส่มากขึ้น แต่เงินทองเราก็ไม่มีติดบ้านเลย แม้รายได้ดั้งเดิมจากการเป็นครูของผมจะเป็นเพียงเดือนละ 400 บาทเท่านั้น และที่สำคัญที่สุด ผมรักการสอนหนังสือมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจนผมนึกไม่มีใจอยากจะไปทำอาชีพอื่น ซึ่งภรรยาของผมเข้าใจตรงนี้ดี เธออนุญาตให้ผมไป ผมขอบคุณเธอ เธอคงรู้ว่าผมจะไม่มีทางเป็นสุขได้เลยถ้าไม่ได้สอนหนังสือ
ผมรอคอยวันเริ่มงานใหม่อย่างใจจดใจจ่อ ผมแทบไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรอย่างอื่นกับครูใหญ่ จนกระทั่งถึงวันที่โรงเรียนเปิดเทอม ผมจึงได้นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่รู้เลยว่าผมจะต้องไปอยู่อย่างไรกับใคร และจะเอาอะไรกิน ผมรู้แต่ว่าที่แห่งนั้นเป็นชุมชนคนปกาเกอะญอ อพยพเล็ก ๆ ที่อยู่ในไร่ในนาหมู่บ้านปกาเกอะญอไทย และผมมีหน้าที่จะไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ ผมโทรศัพท์ถามครูใหญ่คนนั้นอีกที แล้วเขาก็บอกว่า “เตรียมข้าวสารมาเองด้วยก็ดีนะ เพราะที่โรงเรียนนี้เขาไม่ได้ให้ข้าวครู” ผมจึงเดินทางไปที่นั่นพร้อมข้าวสารถุงใหญ่
เมื่อไปถึงโรงเรียน ผมพบว่าแทนที่จะได้สอนวิชาคณิตศาสตร์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ครูใหญ่กลับขอให้ผมช่วยสอนวิชาภาษาพม่าที่ผมไม่ถนัดนัก แต่ไม่เป็นไร ผมคงต้องพยายามไปจนกว่าเขาจะหาครูสอนภาษาพม่าที่เหมาะสมกว่าผมได้ ชุมชนที่นี่เป็นคนปกาเกอะญอเหมือนในค่ายผู้ลี้ภัยที่ผมเกิดและเติบโตมาก็จริง แต่ทุกอย่างก็แปลกใหม่สำหรับผม พ่อแม่ของนักเรียนทั้งหมดหนีภัยสงครามมาเหมือนคนในค่ายผู้ลี้ภัย แต่พวกเขามาทำงานรับจ้างในไร่นา ไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ และไม่มีเวลาดูแลลูกหลานมากนัก ผมพบว่าพวกเขาเป็นอิสระกว่าคนในค่ายที่สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยลำแข้งของตัวเองได้ แต่ความลำบากยากแค้นนั้นไม่ผิดกัน พวกเขาไม่ได้หาเงินได้มากมายหรือร่ำรวยกว่าคนในค่ายเลย แต่ละวันก็กินอยู่กันอย่างจำกัดจำเขี่ยเต็มทน
แทบจะทันทีที่ผมกลับเข้าสู่ชีวิตการเป็นครูใหม่ ผมก็ได้รับทราบว่าแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนด้านการศึกษาสำหรับพวกเราคนชายแดนแห่งหนึ่งได้ยกเลิกการสนับสนุนไป ทำให้เงินทุนด้านการศึกษาที่ไหลเวียนอยู่ลดน้อยลงมากจากที่เคยน้อยอยู่แล้ว ในปีการศึกษา 2554 นี้ โรงเรียนต่าง ๆ ต้องตัดงบประมาณว่าจ้างครู และมีครูหลายคนลาออกไปทำงานอื่นในขณะที่หาครูใหม่ได้ยากยิ่งขึ้น ผมได้ข่าวว่าโรงเรียนเล็ก ๆ บางแห่งต้องปิดตัวไป โดยเฉพาะโรงเรียนในรัฐกะเหรี่ยงและโรงเรียนที่สอนเด็กอพยพนอกค่ายผู้ลี้ภัยแบบที่ผมสอนอยู่ ครูในโรงเรียนของเราได้รับความเดือดร้อนค่อนข้างมากเช่นกัน แต่ทุกคนก็ดูเหมือนกับจะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ตกเย็นเราก็มีแต่จะพูดคุยหยอกล้อกันเหมือนกับคนในครอบครัวหนึ่งซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่มีใครบ่นถึงความทุกข์ยากที่เงินเดือนจะต้องลดลงเหลือ 350 บาทแต่อย่างใด ดูเหมือนเรายังมีกำลังใจในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม
แต่ผ่านไปอีกไม่ถึงเดือน ผมกำลังคุมสอบเด็ก ๆ อยู่ ครูใหญ่ก็เดินเข้ามาบอกว่า “วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ” ผมรู้ทันทีว่าเขาคงมีเรื่องอะไรจะบอกผม และผมสงสัยว่าคงไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมยินดี
ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งครูใหญ่ที่บ้านพักของเขา ระหว่างทางนั้นครูใหญ่ได้บอกว่า “ตอนนี้ถังข้าวสารของครูโรงเรียนเรารั่วแล้วนะ เราคงต้องคุยให้ผู้ปกครองที่เป็นกรรมการโรงเรียนกับพ่อแม่คนอื่น ๆ แล้วว่าจะทำอย่างไร เดือนนี้พวกเราอาจไม่ได้ค่าตอบแทนกันเลยสักคน หรือถ้าได้ผมก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ ถ้าไม่มีอะไรจะกิน เราอาจต้องเก็บกระเป๋ากันแล้วหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ผมกลับมาที่บ้านพักที่สร้างไว้ติดโรงเรียน ระหว่างอาบน้ำอาบท่าไปก็คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ผมต้องบากหน้าไปคุยกับกรรมการโรงเรียนที่เป็นพ่อแม่นักเรียนจริง ๆ หรือ ตอนผมเด็ก ๆ มีคนบอกผมว่า คนมีการศึกษา คนเป็นครู ไม่มีทางอดตายหรอก แต่เมื่อผมได้เป็นครูขึ้นมาจริง ๆ ผมกลับได้ยินผู้นำชาวปกาเกอะญอคนหนึ่งบอกว่า “พ่อค้าแม่ค้าในค่ายผู้ลี้ภัยน่ะ เขาไม่กล้าให้เงินครูกู้หรอก ถ้าเป็นคนทำงานในโรงพยาบาลหรืออื่น ๆ ก็กล้าให้อยู่ แต่ครูนั้นเงินเดือนน้อยเหลือเกิน ไม่มีทางใช้หนี้ได้แน่ ๆ” ผมฟังแล้วรู้สึกเจ็บใจมาก คนทุกคนเติบโตขึ้นมาก็ผ่านมือครู ผู้นำเราก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครู แต่เหตุใดจึงไม่มีใครให้คุณค่ากับครูและการศึกษาเล่า ทำไมอาชีพครูจึงต่ำต้อยนัก แล้วตอนนี้เมื่อถังข้าวสารเรารั่วแล้ว จะไปขอยืมขอเชื่อใครเขาก็คงไม่ให้ใช่ไหม หากเขาเห็นครูเดินมาหาก็คงจะแอบหนีไปหลังบ้านทีเดียวละสิ
ผมคิดถึงเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนที่ผมเริ่มเป็นครูใหม่ ๆ ผมตัดสินใจกลับเข้าไปในเขตสงครามและอาสาเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเมย พวกเราห้าคนรวมครูใหญ่อีกหนึ่งคนอยู่กันแบบอาสาสมัครแท้ ๆ ไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนใด ๆ แต่ในวัยหนุ่มคะนองเรารู้สึกสนุกมาก เราอยู่กินกันไปแบบนั้นโดยแบกข้าวสารจากบ้านของเราในค่ายผู้ลี้ภัยมาเอง และปลูกผักหาปลาในแม่น้ำกันไปเรื่อย ถ้าไม่มีกินจริง ๆ ชาวบ้านก็มักเอามาแบ่งให้บ้าง วันหนึ่งพวกเรากลับมาถึงบ้านพักและพบว่าป้าครูใหญ่นั่งรออยู่ ตัวครูใหญ่นั้นหายตัวไปไหนเสียแล้วเพราะไม่กล้าอยู่ตอบคำถามของป้าของเขา พวกเราทั้ง 5 คนจึงมีหน้าที่ต้อนรับแขก ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะในครัวมีข้าวเหลืออยู่เพียง 2 กระป๋องนมเท่านั้น เราแอบซุบซิบกันว่า ถ้าเช่นนั้นก็จะหุงข้าวทั้งหมดให้แขกกิน และเราห้าคนจะไปขอพึ่งชาวบ้านสักวัน แต่เราจะให้ญาติของเพื่อนเรารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าพวกเราอยู่ที่นี่กันอย่างไร เรากลัวว่าเขาจะเป็นห่วงและไปบอกพ่อแม่ของพวกเราด้วย คืนนั้นพวกเราไปกินข้าวและนอนที่บ้านชาวบ้านเพราะไม่กล้าพบหน้าป้าของเพื่อน รุ่งเช้าก็ไปสอนหนังสือเลย เมื่อกลับมาตอนเย็นแขกของเราก็กลับไปแล้ว และมีข้าวสารกระสอบหนึ่งวางอยู่ด้วย พร้อมกับคำฝากบอกคนแถวนั้นไว้ว่า “ไม่มีข้าวกินทำไมไม่บอก” เรารู้สึกอายแต่ก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง และคิดว่าถ้าพวกเราตั้งใจทำงาน เราคงจะอยู่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ผมคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ ด้วยรอยยิ้ม เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ กำลังคิดว่าจะแต่งตัวไปหากรรมการโรงเรียน หัวหน้ากรรมการโรงเรียนที่เป็นพ่อของนักเรียนผมก็เดินมาหาเสียก่อน เขาถือซองกระดาษสีขาวมาพร้อมกับกระสอบสีขาวสองใบ ผมพูดไม่ออก เขายื่นเงินให้ผม 750 บาทและบอกว่า “ครู วันนี้พวกเราชาวบ้านพูดคุยกันเรื่องปัญหาของโรงเรียน เราได้รวบรวมข้าวสารแต่ละบ้านมาให้ครูทุกคนแบ่งกันกินในกระสอบสองใบนี้ และมีเงินจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เป็นเงินช่วยเหลือครูทุกคน แบ่งกันใช้จ่ายไปก่อนนะครู” ผมเกรงใจพวกเขาอย่างมากจนนอนไม่หลับ ชาวบ้านที่นี่หาเช้ากินค่ำ หลายคนมีพอกินไปวัน ๆ เท่านั้น ผมสงสัยว่านี่ผมเป็นผู้มาช่วยเหลือให้เด็ก ๆ เราได้มีการศึกษา หรือมาสร้างความลำบากให้แก่คนที่ที่ลำบากถึงที่สุดอยู่กันแน่นะ แล้วใครกันที่ควรเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของเด็ก ๆ
ผ่านมาร่วมสองเดือนจนปิดเทอม ปัญหาเรื่องการเงินยังไม่คลี่คลาย แต่ทั้งจำนวนนักเรียนและครูในโรงเรียนเรากลับไม่ได้ลดลง ผมคิดว่าคนที่ทำงานเพียงเพื่อแลกกับค่าตอบแทนย่อมต้องไปหางานใหม่หากค่าตอบแทนลดลง แต่สำหรับคนที่ทำงานด้วยใจ เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือบรรลุถึงเส้นชัยและมีเงินเป็นเพียงความต้องการลำดับรอง ดังนั้นแม้จะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะอดทนและต่อสู้จนถึงที่สุด เปิดเทอมเดือนหน้าผมพร้อมที่จะหอบข้าวสารไปอดทนดูอีกสักตั้ง เพราะผมภูมิใจที่ได้เป็นครู เงินค่าตอบแทนที่น้อยนิดอาจแสดงว่ามีคนให้คุณค่าเราน้อยนิด แต่คุณค่าของเรานั้นย่อมไม่ได้น้อยนิดตามไปด้วยแน่ ผมคิดว่าครูที่ชายแดนอีกจำนวนมากมายคงรู้สึกเหมือนกับผม
ไม่มีความเห็น