...นานมากมายกับการห่างหายไปจากบันทึก ณ ที่แห่งนี้ ไม่ใช่ซิก็เข้ามาเขียนบันทึกแต่เป็นบันทึกลับ(ฉบับอนุทิน) ไว้สำหรับเตือนใจตนเองในหลากหลายเรื่องราวที่ไม่อาจบอกกล่าวใครได้...
..ที่นี่มีเธอฉัน มาพบกันร่วมฝันใฝ่ ภูผาและป่าไพร มวลดอกไม้ผลิแย้มบาน ..และแล้ววันเวลาของการจากลาก็มาถึง 10 ต.ค. 54 ประมาณบ่ายสามโมงกว่า ท่านผู้บริหารก็โทรมาสะกิดสะเกาหัวใจให้หวั่นไหวเล่นว่าอยู่ไหน ? ตอบกลับไปว่า ซีเอ็ด..มีรัยให้รับใช้หรือคะ ปลายสายตอบกลับมาว่า " จะฟังรายชื่อคนย้ายมั๊ย ?" หัวใจเริ่มเต้นถี่และแรงขึ้น ผอ.ผู้ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้ดีเยี่ยมเสมอมา ก็ร่ายมาทีละชื่อ พร้อมโรงเรียนใหม่เรียบร้อย คนฟังอึ้ง ถามกลับไปว่า นุชด้วยหรือ? ปลายสายยืนยันพร้อมถามกลับมาว่า "จะบอกเองหรือให้พี่บอก แต่พี่บอกดีกว่าเนอะ" ก็อย่างนี้ทุกที จะถามให้ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตยว่างั้นเหอะ..
...เพื่อนนุชของฉัน เป็นรุ่นที่ย้ายมาผาผึ้งพร้อมกันเมื่อคำสั่ง ลงวันที่ 6 มิถุนายน 48 โรงเรียนบ้านผาผึ้ง (ในตอนนั้น) ลงนามโดย ผอ.สุรเดช อยู่ชา (มา ผอ.ท่านย้ายซะแล้ว ไม่รอกันเล้ย) แต่เพื่อนมาก่อนเกือบเดือน ก็ต้องเข้าใจนะ นราธิวาสมันไกล ใช้เวลาเดินทางนานหน่อย หลบระเบิดบ้าง วิถีกระสุนบ้าง กว่าจะดั้นด้นมาถึงตากก็หลายวันนิดนึง จนทางนี้บอกถ้าสิ้นเดือนไม่มา จะบอกกลับไปว่าไม่ต้องมา...เกือบไป เกือบจะไม่ต้องมาแล้ว
...วันแรกที่เจอกัน ลงรถมาพร้อมความสะบักสะบอมของร่างกายจากความโหดร้ายของเส้นทาง ถังน้ำแตกไปสองใบ พร้อมสัมภาระถุงใหญ่ ที่ภายในบรรจุแต่ของกิน มีเสื้อผ้าน้อยชิ้น เพราะเป็นคนเห็นแก่กิน เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นมีใครสนใจการมาของเราเลย โหวงเหวงมากมาย ..คิดในใจ หาเรื่องเองนี่หว่า..แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าบ้านพัก เฉยหว่ะ..ไม่รับรู้อะไร แปลกแต่จริง คิดในใจอะไรมากมาย รู้แต่ว่า ลบ ลบ ลบ เขาที่ว่าคือ ครูนุช.. ซึ่งในกาลต่อมาก็ได้เฉลยให้ฟังว่าเหตุใดใยเธอจึงทำเยี่ยงนั้น แน่นอนอยู่แล้วเพื่อน ทุกการกระทำย่อมมีเหตุผล...และแล้ววันเวลาก็นำพาเรามาพบกัน เรียนรู้กัน และสุดท้ายเราก็รักกัน เหมือนจะเป็นนิยายน้ำเน่างัยไม่รู้ ที่เริ่มต้นด้วยความไม่ชอบขี้หน้ากัน จนเปลี่ยนผันเป็นเพื่อนที่รักและเข้าใจกันมากที่สุด...คำพูดที่แข็ง กระด้าง ยังกะมะนาวเดือนห้า จนบางครั้งแอบคิดไม่ได้ว่า เหตุใดเธอจึงห้วนห้าวได้ขนาดนี้ สงสัยว่า...(คิดเองเด้อ) หากบอกเล่าเรื่องราวของเราจากวันเวลา 6 ปีกว่า กับผาผึ้ง คงยาวน่าดูชม แต่ทุกภาพก็อยู่ในความทรงจำเสมอ ทั้งที่เรายิ้มด้วยกัน หัวเราะและร้องไห้ในยามที่ไม่เข้าใจกัน แต่เราก็มีผู้ช่วยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่ (ผอ.แอร์) ป้าแอ๋ม (คุณนายผู้พัน) บังตาดและพี่โนช ที่คอยประคับประคองเราให้ทำความเข้าใจกันเมื่อผิดใจกัน (จริงเปล่า..ถึงตอนนี้ก็ยังมึนๆ) รู้แต่ว่า ยามไม่พูดกันมันเหมือนคนจมน้ำยังงัยอย่างนั้นเลย ...ฟอร์มจัดกันจริงจัง มันเหนื่อยหัวใจเหลือเกินในตอนนั้น
เราได้รับการสั่งและสอนสิ่งต่างๆมากมายจากผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน ระหว่างนั้นแน่นอนมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้น แต่วันและเวลาทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้ความเป็นไปทีละเล็กทีละน้อยจนมันกลายเป็นภูมิต้านทานในตัวที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์นั้น และในเวลานี้มันคงถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนจังหวะการเดินของชีวิต อาจมีสีสันมากขึ้น หรือเบาสบายคล้ายเพลงคลาสสิค แต่สายดนตรีชีวิตเราก็ต้องบรรเลงต่อไป ช่วงเวลาที่เราได้ผ่านอุปสรรคและปัญหามาด้วยกัน ทำให้รู้ว่าเพื่อนแท้นั้นมีค่ามากมายแค่ไหน ถือเป็นโชคดีที่ชีวิตนี้ยังมีโอกาสได้เจอ...
โชคดีที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรม
สานต่อความสัมพันธ์ที่ดีกันไปนานๆเด้อ
เพื่อนรัก...รักเพื่อน
มิตรภาพและความจริงใจ
หายากมากในสังคมปัจจุบัน
จะรักษามันไว้ให้ชั่วนิจนิรันดร
..ไม่รู้เหมือนกันนะ แม้เป็นข้อความที่เขียนขึ้นเอง
แต่ทั้งหมดก็มาจากใจ อ่านแล้วน้ำตาก็รื้นทุกที..
..เราเหมือนคนละขั้ว แต่มันก็เติมเต็มเรา
คุยกับใครก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องคุยกันเองสองคนก็ได้เน๊าะ
ความสัมพันธ์ที่มิอาจลืมเลือน
ไม่สบายใจเข้าไปถ่ายไว้ให้เพื่อนบ้างก็ดีนะ
..คิดถึงนะ เพื่อน..
เวลาไม่มีใคร...
ไม่ใช่ซิ..มีมากมาย
แต่เรามักคิดว่า..ไม่มี
.....^ _ ^ .....