เมื่อไม่นานมานี้ขณะที่ผู้เขียนกำลังยืนคุยกับเพื่อนที่หน้าร้านกาแฟ ก็สังเกตเห็นชาวต่างชาติคนหนึ่งสะพายเป้ขนาดใหญ่ไว้ข้างหลังและมือถือขวดน้ำ เดินถามร้านค้ามาตลอดเส้นทางจนมาถึงร้านกาแฟที่ผู้เขียนยืนอยู่ สังเกตเห็นเหงื่อของเธอเต็มตัวเลยทีเดียว
“ขอโทษนะคะ แถวนี้มีตู้ใส่น้ำไหมคะ” แม้ว่าเธอจะพูดไม่ชัด แต่ก็ถือได้ว่าภาษาไทยของเธออยู่ในระดับที่ใช้ได้เลยทีเดียว
คนขายกาแฟทำหน้างงเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ตู้ใส่น้ำ... อ๋อ ตู้น้ำหยอดเหรียญ เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงซอยหน้าก็จะเจอครับ”
ดูท่าทางเธอดีใจมาก เธอพูดพร้อมกับทำมือประกอบ “เลี้ยวซ้ายข้างหน้า โอเค ขอบคุณมากคะ”
เมื่อเธอเดินไปได้ซักพัก คนขายกาแฟพูดขึ้นลอย ๆ ว่า “เซเว่น ก็อยู่ใกล้ ๆ ไม่รู้จักเข้าไปซื้อ จะเดินให้เหนื่อยทำไม”
ตอนแรกผู้เขียนเองก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอคนขายกาแฟพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำให้อดคิดไม่ได้
“เออ นั่นซิ ทำไมต้องเดินให้เหนื่อยด้วย ร้านค้าแถวนี้ก็มีเยอะแยะ”
จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ทำให้มองในมุมสะท้อนออกมาให้เห็นถึง “ความพอเพียง” ในตัวของชาวต่างชาติคนนั้น คือ
ประการที่ ๑ ความพอประมาณ เป็นลักษณะของการวางแผนบริหารจัดการรายได้ กับรายจ่าย และภาระหนี้สิน ให้ลงตัว หากพิจารณาจากพฤติกรรมการบริโภคของเธอดังกล่าวแล้วจะเห็นว่า ถึงแม้ว่าเธอจะต้องเดินและเหนื่อยมากขึ้นในการหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ แต่สิ่งที่ชดเชยกลับมาให้เธอก็คือความประหยัด (เงินเก็บในกระเป๋าเธอเหลือมากขึ้น)
น้ำหยอดเหรียญ ๑ ลิตร / ๑ บาท หากซื้อน้ำขวดใหม่ขวดละ ๑๐ บาท (น้ำ ๑ขวดประมาณ ๗๐๐ ซีซี) หากสมมติในหนึ่งวันดื่มน้ำ ๒ ขวด
- กรณีซื้อน้ำขวดใหม่ใช้จ่าย (๒ x ๑๐) เท่ากับ ๒๐ บาท
หนึ่งเดือน (๓๐ x ๒๐) เท่ากับ ๖๐๐ บาท
หนึ่งปี (๓๖๕ x ๒๐) เท่ากับ ๗, ๓๐๐ บาท
- กรณีใช้ตู้หยอดเหรียญหนึ่งวัน (๒ x ๐.๗๐) เท่ากับ ๑.๔๐ บาท
หนึ่งเดือน (๓๐ x ๑.๔๐) เท่ากับ ๔๒ บาท
หนึ่งปี (๓๖๕ x ๑.๔๐) เท่ากับ ๕๑๑ บาท
หนึ่งเดือนสามารถประหยัดได้ ๖๐๐ – ๔๒ เท่ากับ ๕๕๘ บาท
หนึ่งปีสามารถประหยัดได้ ๗,๓๐๐ – ๕๑๑ เท่ากับ ๖,๗๘๙ บาท
ประการที่ ๒ ความสมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าเธอจะต้องเดินเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิมแทนการเข้าไปซื้อน้ำในร้านค้า แต่เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนของรายจ่ายในการซื้อน้ำขวดใหม่กับต้นทุนรายจ่ายในการใช้บริการตู้น้ำหยอดเหรียญบวกกับพลังงานในการเดิน ก็ถือว่ามีความสมเหตุสมผลที่เธอจะเลือกใช้บริการตู้น้ำหยอดเหรียญ
ประการที่ ๓ ความสมดุล จากพฤติกรรมของเธอยังสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนและช่วยสร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมอีกด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเธอเลือกซื้อน้ำขวดใหม่ทุกวัน ปริมาณของขวดพลาสติกก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อนำไปสู่กระบวนการการรีไซเคิลก็จะไปเสริมทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น
ประการที่ ๔ ภูมิคุ้มกัน พฤติกรรมของเธอช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเธอเอง (มีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้น หากเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นก็จะไม่เดือดร้อนมาก) และภูมิคุ้มกันให้กับสิ่งแวดล้อมดังได้กล่าวมาในประการที่ ๓
ความพอเพียงเริ่มต้นได้ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนะคติและพฤติกรรม
“กายใจพอเพียง...เลี้ยงชีพพอประมาณ...บริหารจัดการสมเหตุผล... ธรรมชาติและคนสมดุลสุขสันต์...สร้างภูมคุ้มกันให้กับสังคม"
ช่างคิด ช่างวิเคราะห์ดีจังคะ
เศรษฐศาสตร์ใกล้ตัวก็ทำให้ได้ข้อคิด
ที่จริง หากเมืองไทยเรา เก็บภาษีรีไซเคิล พวกขวดพลาสติก
หรือลดราคากาแฟเวลานำแก้วไปเอง
อาจทำให้คนหันมาพกแก้ว/กระติกน้ำส่วนตัว เพื่อลดขยะกันมากขึ้น