502 กิน...เพื่อชาติ


หน้าที่หนึ่งของนักการทูต

 

กิน...เพื่อชาติ 

คำว่ากินนี้ ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน “ กิน” คือ  ก. เคี้ยว เช่น กินหมาก, เคี้ยวกลืน เช่น กินข้าว, ดื่ม เช่น กินน้ำ, ทําให้ล่วงลําคอลงไปสู่กระเพาะ; โดยปริยายหมายความว่าเปลือง เช่น กินเงิน กินเวลา, ทําให้หมดเปลือง เช่น รถกินน้ำมัน หลอดไฟชนิดนี้กินไฟมาก; รับเอา เช่น กินสินบน, หารายได้ โดยไม่สุจริต เช่น กินจอบกินเสียม; ชนะในการพนันบางอย่าง.หมายความว่า รับประทาน ........ฯลฯ

กิน ที่ผ่านมานำมาใช้กับการกระทำของมนุษย์ในหลากหลายความหมาย ทั้งดีและไม่ดี ที่เป็นบวกและลบ ที่เราคุ้นเคยกันดีในเรื่องลบคือในเรื่องการเมือง การจัดการต่างๆ ซึ่งโดยรวมก็คือใจที่ไม่สุจริต ทำสิ่งที่ผิดกฎระเบียบผิดศิลธรรมโดยตัวผู้ทำเองก็รู้ดี แต่ด้วยอกุศลทำให้หลงผิด

แต่สำหรับบันทึกนี้ “กินเพื่อชาติ” มีความหมายที่เฉพาะ ในงานของนักการทูต คือการที่นักการทูตมีหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ งานเลี้ยงเหล่านี้ ที่มีมากที่สุดเห็นจะได้แก่งานเลี้ยงวันชาติ ซึ่งตามตัวเลข มีประเทศเอกราชในโลกนี้ทั้งหมดเกือบ 200 ประเทศ ในทางการทูต ประเทศต่างๆ ต้องจัดงานวันชาติเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นประเทศ ความเป็นเอกราช มีอธิปไตยของประเทศตน  เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับของประเทศอื่น และตามธรรมเนียมทางการทูตเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นได้ให้เกียรติ ตอบรับยอมรับประเทศนั้นในสังคมโลก ดังนั้น การจัดงานวันชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญของทุกประเทศ และที่ขาดไม่ได้ก็คืองานเลี้ยงอาหาร ไม่ว่าจะกลางวันหรือค่ำ น้อยสุดก็คือการเลี้ยงแบบรีเซฟชั่นซึ่งก็จะมีเครื่องดื่มและของว่างให้ทาน ส่วนใหญ่จะนำอาหารพื้นเมืองของประเทศตนมาเลี้ยงแขกเชิญ

การไปงานเลี้ยงแบบนี้ ผู้ร่วมงานซึ่งก็ไม่ใช่มีแต่นักการทูตแต่บุคคลสำคัญของประเทศนั้นๆ ร่วมงานด้วย จึงมักเป็นงานที่มีอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง เครื่องดื่มพร้อม ยกเว้นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามจะนำน้ำผลไม้มาเสริฟ์แทนแอลกอฮอล์

ขั้นตอนในงาน ส่วนใหญ่จะเชิญแขกเกียรติยศของประเทศเจ้าบ้าน มีการเปิดเพลงชาติของทั้งสองประเทศ โดยมากมักไม่มีการกล่าวสุนทรพจน์แล้วตามด้วยการเลี้ยงอาหาร

ดูเผินๆ การไปร่วมงานเลี้ยงของนักการทูตนี้ น่าจะเป็นเรื่องสนุกสนานเพลิดเพลินใจเพราะได้อยู่ท่ามกลางสังคมคนมีระดับหรือไฮโซ ดื่มกินพูดคุยสนทนา เหมือนสังคมชั้นสูงที่เห็นในภาพยนตร์ แต่ ทราบไหมว่างานเลี้ยงต่างๆ ของงานการทูตไม่ได้มีเฉพาะงานเลี้ยงวันชาติ ยังมีงานเลี้ยงในโอกาสต่างๆ อาทิ งานสัมมนา งานเปิดตัวบุคคลสำคัญ งานเลี้ยงต้อนรับและส่งอำลา งานทางศาสนา ดังนั้น น้อยสุดในหนึ่งสัปดาห์จะมีงานประมาณ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย มากสุดคือ 14 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ บางวันมีงานตอนเย็น 3-4 งานในคืนเดียวกัน ลองเฉลี่ยดูว่า 12 เดือนใน 1 ปี จะมีงานเลี้ยงมากเพียงใด

 

จึงเป็นที่มาของคำว่า “กินเพื่อชาติ” ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกินในความหมายลบอื่นๆ แต่เป็นการกินเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ คำนี้ ผมได้คำนี้มาจากนักการทูตเวียดนามคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เราพบกันในงานเลี้ยงแบบนี้เป็นประจำ เมื่อพูดกันถึงเรื่องหน้าที่ของนักการทูตในการไปร่วมงานเลี้ยงเพื่องาน เขาก็จะบอกผมว่า “พวกเราเป็นคนที่กินเพื่อชาติ” นับเป็นคำที่ถูกต้องจริงๆ  

นักการทูตจึงต้องมีเทคนิคในการไปร่วมงานและกินเพื่อชาติอย่างไรเพื่อมิให้อ้วน มิให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการอ้วนเพื่อชาติ หรือเป็นโรคต่างๆ เพื่อชาติ

งานเลี้ยงที่นักการทูตต้องไปร่วมงานอาจต่างกันในเรื่องรูปแบบของแต่ละประเทศ แต่โดยรวมคล้ายกัน เช่นงานวันชาติ จะจัดได้ทั้งในช่วงกลางวันหรือช่วงค่ำ เป็นได้ทั้งรีเซฟชั่นหรือบุฟเฟ่ทั้งกลางวันและดินเนอร์ สถานที่ก็นิยมจัดที่สถานทูตของตนหรือไม่ก็ที่โรงแรมชั้นหนึ่ง ในสถานที่หรือนอกสถานที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและภูมิอากาศซึ่งก็จะมีผลต่อเครื่องแต่งกายที่จะไปงานด้วย มีทั้งสูท เครื่องแต่งกายประจำชาติหรือแบบไม่เป็นทางการ (ไม่ผูกเนคไท) สำหรับงานประเภทอื่นๆ

การจัดงานวันชาติ วัตถุประสงค์หนึ่งนอกจากเป็นธรรมเนียมการทูตทางการดังกล่าวมาแล้ว ก็เพื่อให้คนได้พบปะสนทนากัน สร้างความสัมพันธ์กัน และเปลี่ยนข้อมูลและข่าวสารกัน ทั้งไม่ลับ(และลับ) แลกเปลี่ยนนามบัตรกันระหว่างคณะทูตกับคนในประเทศนั้นๆ ซึ่งมีทั้งข้าราชการ นักการเมือง เอกชน นักธุรกิจ คนที่ไปจึงต้องเตรียมนามบัตรไปแลกด้วย  เพราะนักธุรกิจมักจะนิยมรู้จักกับนักการทูต 

ในช่วงต้นงานจึงเป็นการดื่มและสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล เมื่อได้เวลาก็จะมีแขกเกียรติยศของงานมาถึง เจ้าภาพก็จะเชิญแขกเกียรติยศขึ้นไปบนเวที มีการเชิญดื่มอวยพรและเปิดเพลงชาติของทั้งสองประเทศโดยเปิดเพลงชาติของประเทศเจ้าภาพก่อน  จากนั้นก็จะเป็นการเชิญให้แขกที่มาร่วมงานทานอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารหนัก 

เทคนิคในเรื่องการกินที่ผมกล่าวถึงจึงอยู่ที่การเตรียมตัวของนักการทูตเอง บางประเทศชอบให้แขกไปถึงตรงเวลา มิฉะนั้นถือว่าเสียมารยาท ในขณะที่บางประเทศไม่ถือสาที่จะมาช้า ส่วนการแต่งกายนั้น ส่วนใหญ่จะกำหนดเอาไว้ชัดเจน เช่นอินเดีย ไม่ถือเรื่องมาตรงเวลานัก บางงานไปตรงเวลา ปรากฏแขกมากันเต็มงานแล้ว บางงานก็มากันช้า ในกรณีของอินเดีย ถ้าเป็นงานเลี้ยงของคนทั่วไป ส่วนใหญ่จัดงานค่อนข้างดึกจึงต้องทานอาหารรองท้องไปก่อน เมื่ออยู่ในงานจะได้ทานเป็นพิธีและไม่หิวมากนัก ระยะเวลาของงานส่วนใหญ่จะอยู่ที่สองชั่วโมงขึ้นไป อย่างไรก็ดี หากเป็นงานของคนอินเดีย จะเริ่มดึกมาก โดยเฉพาะงานแต่งงานหรืองานเลี้ยงของนักธุรกิจ จะเริ่ม 4 ทุ่มเป็นต้นไป และไปเลิกเอาเที่ยงคืน

นอกจากนั้น ต้องเตรียมยาประจำตัว เช่นยาช่วยย่อยไปทานด้วย ใครที่แสลงของกินใดก็หลีกเลี่ยงที่จะไม่กินเพราะหากทานไปแล้วเกิดอาการในงานคงไม่ดี ส่วนเครื่องดื่ม นักการทูต บางครั้งแม้จะไม่ชอบดื่มเหล้าแต่ส่วนใหญ่ก็ต้องดื่มตามมารยาทและตามหน้าที่ “ดื่มเพื่อชาติ” ในอดีตมีทูตหลายท่านดื่มตามหน้าที่จนได้รับโรคที่ชื่อว่าสุราเรื้อรังเป็นการตอบแทนและต้องเสียชีวิตเพราะดื่มเพื่อชาติมาแล้ว ปัจจุบันนี้เรื่องเหล้า ค่อนข้างหลีกเลี่ยงได้เพราะประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามจะไม่เสริ์ฟเหล้าในงานวันชาติ จะมีเพียงน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม การดื่มเหล้าสามารถดื่มตามมารยาทได้เพียงจิบหรือไม่เกิน 1 แก้วก็พองาม

นักการทูตต้องเป็นนักกินที่ดี ในงานวันชาติ บางครั้งเจ้าภาพเสริ์ฟอาหารพื้นเมือง ที่ไม่เคยทานมาก่อน ก็ต้องหัดทานอาหารพื้นเมืองแปลกๆ ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องทานแล้วพอใจ ที่ได้ทาน รายละเอียดของการเข้าสังคมการทูตมีมากมายแตกต่างกันแต่ละงานและสถานการณ์ นักการทูตจึงต้องทำใจปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์นั้นๆ

ทั้งหมดนี้ ก็เพราะคำว่า “กินเพื่อชาติ” ไงครับ

หมายเลขบันทึก: 461690เขียนเมื่อ 20 กันยายน 2011 11:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2012 09:55 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

แปลกนะคะ

เรื่องกินที่จริงเป็นเรื่องของความสุข

ที่เรามักใช้คำว่า"อิ่มอร่อย"

แต่พอกลายมาเป็นหน้าที่

กลับมีความซับซ้อน

และใช้ศิลปะมากมาย

เข้าใจแล้วว่า "กินอย่างมีสติ" น่ะเป็นอย่างไร

(เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน-แต่นานๆครั้งค่ะ)

โยคีน้อย

พระสงฆ์ท่านเวลาจะฉันจึงต้องพิจารณาอาหารก่อนฉันทุกครั้ง

นักการทูตเวลาทานในงานเลี้ยง จะต้องกำหนดสติว่า "กินอีกแล้วหนอ" เพราะเป็นหน้าที่ที่จะต้องเข้าสังคม ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี และโดยรวมเพื่อประเทศชาติ

ในที่สุดแล้ว ทุกคนในสังคมต่างมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ดีที่สุด สังคมและโลกก็จะเป็นไปอย่างสงบสุข

เจริญสุขจ๊ะ

ในอดีตมีทูตหลายท่านดื่มตามหน้าที่จนได้รับโรคที่ชื่อว่าสุราเรื้อรังเป็นการตอบแทนและต้องเสียชีวิตเพราะดื่มเพื่อชาติมาแล้ว

อาจบอกว่า หมอห้ามเพราะมีโรคประจำตัว ก็ได้คะ :-)

ขอบคุณบันทึกจากประสบการณ์ แง่มุมที่น้อยคนรู้คะ

Ico48

คุณหมอ

นำมาเล่าเพื่อการจัดการความรู้นะครับ ผมเห็นว่างานการทูตเป็นเรื่องที่คนทั่วไปควรทราบด้วย เพราะเป็นงานหนึ่งที่สร้างความปรกติสุขให้กับประเทศชาติและสังคมโลก

เจริญสุขครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท