ยุดเถอะศาดอุดมสิกขาไทย (๒)


ความอ่อนแอทางวิชาการของไทยนั้นน่าจะมีรากเหง้ามาจากการที่เราส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศมากเกินไปและเป็นระยะเวลายาวนานเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดผลพวงอันเลวร้ายตามมาหลายประการคือ

  1. เสียเงินให้ต่างประเทศ (ปัจจุบันที่เขียนนี้ พศ. ๒๕๔๕   ซึ่งแม้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังเสียเงินไปเรียนกัน ประมาณปีละ 40,000 ล้านบาท)
  2. ทำให้มหาวิทยาลัยไทยอ่อนแอ เพราะส่งมันสมองระดับสูงสุดของชาติไปทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้ชาติอื่น แทนที่จะเอามาใช้พัฒนาประเทศไทยของเราเอง
  3. เมื่อ ดร. ปริญญาเอกา “จบนอก” กลับมาสู่เหย้าแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะทำงานวิจัยในเรื่องเดิมที่เคยวิจัยใน ตปท. ต่อไป..... ซึ่งนอกจากจะเสียงบวิจัยซึ่งมาจากภาษีของประชาชนไทยแล้ว ยังไม่มีผลต่อการพัฒนาชาติไทย แต่กลับมีผลต่อการพัฒนาชาติอื่น
  4. เมื่อมันสมองระดับสูงเหล่านี้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย  และรับนักศึกษาปริญญาโท-เอกเข้ามาทำงานวิทยานิพนธ์กับตน ก็จะแจกโจทย์วิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นเหล่านั้น เพื่อให้นักศึกษาไทยช่วยกันระดมสมองทำวิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นกันต่อไป (ด้วยภาษีของคนไทย) โอ..ชาติไทย ทำไมเราจนแล้วยังใจบุญปานนี้
  5. ทั้งหมดนี้ถูกซ้ำเติมด้วยหน่วยงานให้ทุนวิจัยของรัฐและเอกชนทั้งหลาย  ที่มักมุ่งเน้นแต่การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างประเทศโดยไม่ให้ความสำคัญต่อผลงานที่สามารถนำไปพัฒนาประเทศไทยได้อย่างจริงจัง และ ภายในเวลาอันรวดเร็วด้วย

สรุปคือ ถ้าหัวเห่อนอก หางมันก็คงส่ายไปในทางเดียวกัน นั่นแหละ วันนี้จึงไม่แปลกว่าทำไมวัยรุ่นไทยเห่อ แมนยู หงส์ หอย และดารานักร้องเกาหลี ส่วนทีมชาติไทยแข่งไม่มีใครไปดู และสื่อก็ไม่ถ่ายทอด  (ส่งผลต่อยอดขายซัมซุง โตโยต้า และ การท่องเที่ยวไปลอนดอน ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอด ฯลฯ )

 

...โปรดติดตามตอนต่อไป

 

..คนถางทาง

หมายเลขบันทึก: 459978เขียนเมื่อ 12 กันยายน 2011 02:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 20:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท