ความอ่อนแอทางวิชาการของไทยนั้นน่าจะมีรากเหง้ามาจากการที่เราส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศมากเกินไปและเป็นระยะเวลายาวนานเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดผลพวงอันเลวร้ายตามมาหลายประการคือ
- เสียเงินให้ต่างประเทศ (ปัจจุบันที่เขียนนี้ พศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแม้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังเสียเงินไปเรียนกัน ประมาณปีละ 40,000 ล้านบาท)
- ทำให้มหาวิทยาลัยไทยอ่อนแอ เพราะส่งมันสมองระดับสูงสุดของชาติไปทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้ชาติอื่น แทนที่จะเอามาใช้พัฒนาประเทศไทยของเราเอง
- เมื่อ ดร. ปริญญาเอกา “จบนอก” กลับมาสู่เหย้าแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะทำงานวิจัยในเรื่องเดิมที่เคยวิจัยใน ตปท. ต่อไป..... ซึ่งนอกจากจะเสียงบวิจัยซึ่งมาจากภาษีของประชาชนไทยแล้ว ยังไม่มีผลต่อการพัฒนาชาติไทย แต่กลับมีผลต่อการพัฒนาชาติอื่น
- เมื่อมันสมองระดับสูงเหล่านี้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และรับนักศึกษาปริญญาโท-เอกเข้ามาทำงานวิทยานิพนธ์กับตน ก็จะแจกโจทย์วิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นเหล่านั้น เพื่อให้นักศึกษาไทยช่วยกันระดมสมองทำวิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นกันต่อไป (ด้วยภาษีของคนไทย) โอ..ชาติไทย ทำไมเราจนแล้วยังใจบุญปานนี้
- ทั้งหมดนี้ถูกซ้ำเติมด้วยหน่วยงานให้ทุนวิจัยของรัฐและเอกชนทั้งหลาย ที่มักมุ่งเน้นแต่การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างประเทศโดยไม่ให้ความสำคัญต่อผลงานที่สามารถนำไปพัฒนาประเทศไทยได้อย่างจริงจัง และ ภายในเวลาอันรวดเร็วด้วย
สรุปคือ ถ้าหัวเห่อนอก หางมันก็คงส่ายไปในทางเดียวกัน นั่นแหละ วันนี้จึงไม่แปลกว่าทำไมวัยรุ่นไทยเห่อ แมนยู หงส์ หอย และดารานักร้องเกาหลี ส่วนทีมชาติไทยแข่งไม่มีใครไปดู และสื่อก็ไม่ถ่ายทอด (ส่งผลต่อยอดขายซัมซุง โตโยต้า และ การท่องเที่ยวไปลอนดอน ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอด ฯลฯ )
...โปรดติดตามตอนต่อไป
..คนถางทาง