หลายคนจำไม่ได้ว่าเราหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อไหร่
เพราะมัวแต่เคร่งเครียดกับภาวะสังคมรอบข้าง
ที่คอยบีบคั้นให้เกิดความกดดันในชีวิต
ทั้งๆ ที่คนเราเรียนรู้การหัวเราะมาตั้งแต่เด็ก
จนทำให้ชีวิตปราศจากเสียงหัวเราะไปโดยปริยาย
"ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา" ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์
และผู้เชี่ยวชาญด้านการหัวเราะบำบัดให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
มนุษย์เป็นสัตว์โลกเพียงชนิดเดียวที่สามารถหัวเราะได้ เนื่องจากสัตว์ชนิดอื่นๆ
ทำได้เพียงการแยกเขี้ยว ที่บางคนเข้าใจว่าเป็นการยิ้ม
แต่ความจริงแล้วเป็นการแสดงออกที่สื่อความหมายข่มขู่
หรือการบอกอาณาเขต หรือแสดงอำนาจที่อยู่เหนือกว่า
แต่ถ้าเป็นมนุษย์จะยิ้มเพื่อสื่อความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
"จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า มนุษย์มีสมองส่วนที่ควบคุมการทำงาน
ของร่างกายที่ใหญ่กว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ จึงสามารถสร้างกระบวนการนึกคิดได้ดีกว่า
แต่ทำไมปัจจุบันมนุษย์กลับไม่ค่อยใช้สมองส่วนที่สร้างกระบวนการนึกคิดในการพัฒนาร่างกายเลย
ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการหัวเราะ เพราะระบบของคลื่นเสียงในการหัวเราะ
จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานดีขึ้น เช่น ระบบทางเดินหายใจ หัวใจ
ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ระบบการย่อยอาหาร ระบบการไหลเวียนของโลหิต
ระบบขับถ่าย และระบบผิวหนัง"
ทั้งนี้ ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์
อธิบายต่อว่า การหัวเราะจะใช้สมองที่ควบคุมด้านอารมณ์เป็นตัวควบคุม
เพราะเมื่อใดที่คนเราเลิกคิดมากความเครียดก็จะไม่เกิด
ตรงข้ามจะเกิดเป็นเสียงหัวเราะขึ้นมาแทน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
เด็กเล็กจะมีเสียงหัวเราะมากกว่าผู้ใหญ่
"ทุกครั้งที่เราหัวเราะ นั่นหมายถึงการแสดงออกซึ่งสัญชาตญาณของการอยู่รอด
แต่ถ้ามีความเครียดอยู่ สมองส่วนนี้จะทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายแปรปรวน
เช่น ตากระตุก หายใจไม่ทั่วท้อง หากปล่อยให้อาการเรื้อรังก็จะสามารถก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้
เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไมเกรน และโรคในช่องปาก เพราะความเครียด
ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียต่างๆ สาเหตุของกลิ่นปากและลมหายใจไม่สดชื่น
แถมยังอาจเกิดปัญหาการเข้าสังคมตามมาด้วย"
อย่างไรนั้น เวลารู้สึกเครียดเสียงหัวเราะสามารถเปลี่ยนให้บรรยากาศรอบๆ ตัว
ให้มีชีวิตชีวาและผ่อนคลายลง อีกทั้งสร้างให้เกิดมิตรภาพระหว่างกันได้
แม้บางคนจะมองว่าการหัวเราะเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่มันก็เป็นความสุขที่เราสามารถสร้างขึ้นได้เอง
โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองแม้แต่บาทเดียว
สำหรับการฝึกหัวเราะให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น สามารถทำได้
โดยอาจกำหนดเอาไว้ง่าย ๆ ว่าหัวเราะให้ได้ 15 ครั้งต่อวัน ฯลฯ
ทั้งนี้ ต้องหัวเราะอย่างมีขอบเขตด้วย เช่น ไม่หัวเราะในที่ประชุม
หรือหัวเราะจนสร้างความรำคาญให้กับผู้อื่น
ไม่มีความเห็น