การบริหารองค์กรแบบบิวตัน (Buton)
ผมได้ศึกษา ครุ่นคิด เกี่ยวกับวิธีการบริหารองค์กรมานานพอสมควร ตั้งแต่ยังไม่ได้เคยเป็นผู้บริหารกะเขา ไม่ใช่ว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหรอก แต่เพราะเห็นว่ามันเป็นศาสตร์ศาสตร์หนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนิสัยผมนั้นสนใจศาสตร์ทุกเรื่องโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะศาสตร์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ เช่นชาติพันธุ์มนุษย์และสังคมวิทยา เมื่อได้จับพลัดจับผลูเข้ามาสู่วงจรการบริหารการศึกษาเมื่อพศ. ๒๕๔๓ ก็เลยยิ่งเป็นแรงดลใจให้ผมได้ใช้ความคิดอย่างหนักมากขึ้นว่าจะใช้ยุทธวิธีการบริหารแบบใด ผมได้เข้าฟังการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิ ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการบริหาร(ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ) ได้สนทนากับผู้รู้ ตลอดจนสังเกตรูปแบบการบริหารของนักบริหารท่านอื่นๆ พอสมควร แต่ผมก็ยังไม่สามารถหารูปแบบการบริหารที่ถูกใจตนเองได้
หลังจากใช้ความคิดอยู่นานจึงได้คิดค้นวิธีการบริหารรูปแบบใหม่ขึ้น โดยการผสมผสานแนวทางวิทยาศาสตร์ ศาสนา และ จิตวิทยามนุษย์เข้าด้วยกัน ผมขอเรียกการบริหารแบบนี้ว่าการบริหารแบบบิวตัน (Buton) ซึ่งเป็นคำทีผสมมาจากคำว่า Buddha, Tao และ Newton ผมได้ทดลองใช้วิธีการบริหารแบบนี้ไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเก็บข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปได้ว่าเกิดสัมฤทธิผลอย่างไร เพราะคงต้องใช้เวลายาวนานมากในการนี้ แต่ก็อยากจะฝากไว้ให้ท่านนักคิดทั้งหลายได้วิเคราะห์และกรองเอาส่วนที่เห็นว่าดีไปใช้ต่อไป
รูปแบการบริหารอันหลากหลายที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เราลอกเรียนมาจากตะวันตกนั้น ผมเห็นว่านำมาซึ่งความเครียดของผู้บริหาร หรือผู้ถูกบริหาร หรือ ทั้งสองฝ่าย สุดแล้วแต่เงื่อนไขและลักษณะเฉพาะขององค์กรนั้นๆ ผมเชื่อว่าความเครียดนั้นไม่ว่าในรูปแบบใดจะนำมาซึ่งความด้อยประสิทธิภาพในที่สุด เพราะคนที่มีความเครียดคงจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้โดยเฉพาะในระยะยาว รูปแบบการบริหารที่ดีที่สุดน่าจะคือรูปแบบที่ทำให้ “งานได้ผล คนมีสุข”
คำถามอันยิ่งใหญ่ที่ต้องถามตามมาคือ แล้วจะทำให้คนทำงานมีความสุขได้อย่างไร เพราะการงานไม่ใช่เล่นกอล์ฟหรือร้องคาราโอเกะ ซึ่งเป็นคำถามที่ยากมาก แต่คำตอบมีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่แล้วมากมาย เช่น นักวิ่งมาราธอนนั้นไม่ว่าจะเป็นสมัครเล่น หรือ อาชีพ ต่างก็มีความสุขกับความเหนื่อยยากด้วยกันทั้งนั้น วันไหนไม่ได้ออกไปโทรมร่างกายให้มันเหงื่อท่วมตัวก็จะหงุดหงิดมากทีเดียว คนที่บ้าทำงาน(ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นน้อยกว่านักวิ่งมาก)ก็มีความสุขเช่นเดียวกัน เคล็ดลับของการทำงานให้มีความสุขอยู่ที่ไหน หรือ เคล็ดลับของการบริหารองค์กรเพื่อให้คนทำงานหนักอย่างมีความสุขคืออะไร ถ้าทำได้คงจะวิเศษที่สุด
รูปแบบการบริหารองค์กรที่ส่วนใหญ่เราลอกเลียนฝรั่งมานั้น มักไม่หนีพ้นประเด็น วิสัยทัศน์ หาจุดอ่อนจุดแข็ง วิกฤตโอกาส ตั้งเป้า วางยุทธศาสตร์ แผนกลยุทธ มาตรการ และวิธีปฏิบัติ มอบงาน ควบคุม ตรวจสอบ วิเคราะห์ประเมิน และการป้อนกลับ ตลอดจนการบริหารความขัดแย้ง นั่นเป็นระบบการทำงาน ส่วนในระดับพนักงานก็มักจะมีการ สร้างแรงจูงใจให้ทำงานหนักด้วยเครื่องล่อเชิงรูปธรรมในรูปแบบต่างๆ เช่น การขึ้นเงินเดือน โบนัส การเลื่อนตำแหน่ง สวัสดิการ การแข่งขัน การทำงานเป็นทีม เป็นต้น ระบบบริหารแต่ละระบบจะแตกต่างกันบ้างก็แต่เพียงในรายละเอียดของวิธีการเพื่อทำให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบต่างๆที่กล่าวมาเท่านั้น
ปัจจุบันนี้ยังมีการเน้นผลงานที่สามารถชี้วัดได้อย่างชัดเจนด้วยตัวชี้วัดต่างๆที่สร้างกันขึ้นมา จึงก่อให้เกิดความเครียดในตัวผู้บริหารสูงสุดซึ่งทยอยลงสู่ระดับล่างจนเกิดการเฉลี่ยความเครียดกันโดยถ้วนหน้า ทำให้งานอาจจะได้หรืออาจจะไม่ได้ผล มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี แต่คนทำงานนั้นเป็นทุกข์หนักถ้วนหน้าแน่นอน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมยาแก้ปวดหัวจึงเป็นยาที่ขายดีที่สุดในตลาดยาทั่วโลกทุกวันนี้
พนักงานในองค์กรถูกบีบคั้นให้เกิดความเครียดได้หลายทาง เช่น จากอำนาจบริหารของผู้บริหาร จากกฎระเบียบ (ที่วางโดยผู้บริหาร) จากปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และแน่นอนจากการงานโดยตรง ทั้งหมดมีมูลเหตุมาจากความกลัว คือ กลัวตกงาน กลัวไม่ก้าวหน้า กลัวคนอื่นจะก้าวหน้ากว่า กลัวเสียหน้า(ที่ทำงานไม่เสร็จทันเวลา)
ผมมาคิดสังเคราะห์แบบสามประสานได้ว่า 1) พระพุทธเจ้าได้ให้หลักการในการทำกิจกรรมใดๆไว้ว่า ควรได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านพร้อมกัน 2) เล่าจื้อ (เต๋า) บอกว่าจงปกครองเสมือนหนึ่งว่าไม่มีผู้ปกครอง 3) เซอร์ ไอแซค นิวตัน บอกว่าสรรพสิ่งย่อมนิ่งหรือเคลื่อนไปในทิศทางเดิมด้วยความเร็ว(หรือความช้า)เดิม จนกว่าจะใส่แรงจากภายนอกเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลง
ระบบการบริหารแบบ Butonian ที่ผมคิดค้นขึ้น เป็นการบริหารที่เอาสามหลักการนี้มาบูรณาการให้สอดคล้องกับสภาวะเงื่อนไขขององค์กรในขณะเวลานั้นๆนั่นเอง
...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๖ สค. ๒๕๕๔)
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความเห็น