ณ ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่โลกตะวันออกมีพระพุทธเจ้า เล่าจื๊อ และขงจื๊อนั้น ที่คาบสมุทรบอลข่านก็มีปราชญ์อยู่หลายท่าน แต่มีสามัญชนคนหนึ่ง แม้บางสำนักไม่ยกย่องให้เป็นปราชญ์ ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังไม่แพ้นักปราชญ์ทั้งหลาย แถมยังดังกว่าบางรายอีกด้วย คนผู้นี้คืออีสป นักเล่านิทานชาวกรีกที่คนทั้งโลกรู้จักเป็นอย่างดี
นิทานอีสปแตกต่างจากเรื่องเล่าของคนทั่วไปตรงที่มิได้มีแต่มนุษย์กับเทวดาเท่านั้นที่พูดได้ สัตว์และพืชก็พูดได้และในที่สุดได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของนิสัยและพฤติกรรมของมนุษย์ที่สื่อความหมายเป็นสากลมาจนทุกวันนี้ คนไทยเราเองได้ปรับใช้สัญลักษณ์ต่างๆจนเป็นที่เข้าใจและยอมรับตรงกันเป็นจำนวนมาก คำเปรียบเปรยเหล่านี้แทบไม่ต้องแปลหรืออธิบายให้มากเรื่องยาวความ เช่น องุ่นเปรี้ยว ราชสีห์ สุนัขจิ้งจอก ลา หมาป่า ลูกแกะ กบเลือกนาย กระต่ายตื่นตูม เด็กเลี้ยงแกะ ฯลฯ
เราชาวไทยคุ้นเคยกับรูปแบบของนิทานอีสปตรงที่จบเรื่องแล้วมีต่ออีกย่อหน้าหนึ่งว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า......” จริงๆ แล้ว อีสปไม่ได้เขียนย่อหน้าพิเศษนี้ เขาจบนิทานแต่ละเรื่องโดยไม่อธิบายอะไร ชาวยุโรปในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (the Renaissance) ได้เพิ่มย่อหน้าที่ว่านี้ เพื่อนำไปใช้สอนเด็กๆในโรงเรียน นอกจากนี้ การแปลจากภาษากรีกเป็นภาษาอื่นๆ แล้วแปลต่อจากภาษาอื่นๆ เป็นภาษาอื่นๆ อีกหลายทอดหลายภาษา ทำให้นิทานอีสปมีหลายสำนวน และมีความยาวต่างๆกัน แต่ไม่ว่าสำนวนจะแตกต่างกันหรือสั้นยาวไม่เท่ากันอย่างไรก็ตาม เค้าโครงเรื่องยังคงเดิม และชื่อนิทานยังคงมีชื่อเดียวเท่านั้น คือ นิทานอีสป
เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของอีสปเป็นปริศนาพอๆ กับนิทานของเขาเอง ที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเขาเกือบครึ่งหนึ่งเป็นข้อสันนิษฐาน หรือ เป็นนิทานเสียเองก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม คนจำนวนไม่น้อยเชื่อตอนจบของชีวิตของอีสปที่ว่า ถูกชนชั้นปกครองจับไปแล้วตัดสินให้ถูกผลักตกหน้าผาตาย ที่คนเชื่อตอนนี้เพราะว่าเนื้อหาสาระของนิทานอีสปจำนวนไม่น้อยได้ เหยียบตาปลา ผู้มีอำนาจเข้าเต็มแรงนั่นเอง
นิทานอีสปยืนยงคงทนมานานกว่าสองพันห้าร้อยปีได้ก็เพราะ เรื่องราวทั้งหลายในนิทาน ไม่เคยเก่า ไม่เคยตกยุค มนุษย์นั้น ถึงจะเจริญก้าวหน้าหรือทันสมัยเพียงใดก็ตาม การทำเรื่องไม่เข้าท่ามากมายหลายเรื่องยังคงไม่แตกต่างจากที่มนุษย์โบราณทำมาแล้วทั้งนั้นอยู่นั่นเอง
โอกาสหน้า จะเลือกสรรนิทานที่ไม่ฮิตแบบที่เห็นชื่อเรื่องก็รู้เรื่องหมด มาเล่าต่อขอรับ
ไม่มีความเห็น