การตั้งศาลพระภูมิ


ยังไม่จย

ตั้งศาลพระภูมิ

       พระภิมเป็นเทพารักษ์เคหสถานและสถานที่ต่างๆมีท้าวกรุงพลีเป็นหัวหน้ามีบริวาร ๙องค์เช่นพระชัยกษัตริย์รักษาที่นาพระธรรมโหรารักษาที่ส่วน พระเทเพนรักษาวัวควายและพระชัยมงคลรักษาที่บ้าน เป็นต้น

พระภูมิและพวกบริวารได้รับการยอมรับนับถือจากชาวบ้านมีการตั้งศาลขึ้นเป็นที่อาศัยสำหรับบวรสรวงบูชา

       สถานที่ตั้งศาล จะเลือกที่สะอาดไม่ชื้นแฉะ ไม่อยู่ใกล้ครัวหุงต้ม และที่สำคัญคือ ที่ตั้งศาลพระภูมิจะให้เงาศาลพระภูมิทับเรือนหรือเงาเรือนทับศาลพระภูมิไม่ได้เป็นอันขาด ทิศที่ตั้งศาลพระภูมิต้องอยู่ทางทิศอีสาน บูรพา หรืออาคเนย์ของบ้าน จะตั้งไว้ในทิศอื่นๆ น้องจากที่กล่าวมานี้ไม่ได้

       เนื่องจากศาลพระภูมิเป็นที่สถิตของพระภูมิซึ่งถือเป็นสิ่งเคารพบูชาจึงต้องทำให้เป็นที่ตั้งของความเลื่อมใสโดยทำให้มีความประณีตมีเครื่องประดับพอสมควร ได้แก่ แจกันสำหรับปักดอก ไม้ ๑ คู่ เชิงเทียน ๑คู่ กระถางธูป๑ ใบผ้าเหลือผูกเจว็ด ๑ผืน ผ้าห้อยหน้าศาล ๑ ผืน ม่านประดับศาลตามประตูและหน้าต่างใช้สีชมพูหรือสีตามวันเกิดของเจ้าของบ้านได้ก็ยิ่งดี ตุ๊กตาชาย ๑ คู่ ตุ๊กตาหญิง ๑ คู่ ตุ๊กตาช้างและม้า อย่างล่ะ ๑ คู่ ละคร ตุ๊กตา ๒โรง เครื่องประดับต่างๆ นี้ จัดวางให้สวยงามและเหมาะสมเรียบร้อย พื้นบริเวณจัดให้สะอาดเว้นทางเดินเข้าออกพอเหมาะสม

      ในการตั้งศาลพระภูมิต้องหาวันเวลาประกอบพิธียกศาลพระภูมิให้ถูกต้องตามตำรา  หากทำไม่ถูกต้องอาจเกิดเป็นดาบสองคมขึ้นมาได้ วันที่ทางโหราศาสตร์กำหนดไว้เกี่ยวกับการทำพิธียกศาลพระภูมิมีดังนี้ เดือนอ้ายเดือน ๕ เดือน ๙ห้ามยกศาลพระภูมในวันพฤหัสบดีและวันอังคารและวันเสาร์เดือน๖เดือน๑๐ห้ามยกศาลพระภูมิในวันพุธและวันศุกร์เดือน๔เดือน๘เดือน๑๒ห้ามยกศาลในวันอังคารอนึ่งตามตำราพรหมชาติมีนอกเหนือไปจากที่กล่าวมานี้อีกคือเดือน๔เดือน๘เดือน๑๒ห้ามยกศาลในวันจันทร์ เดือน๓เดือน๗เดือน๑๑ห้ามยกศาลพระภูมิเหมือนวันที่ทำการมงคลทั่วไป

      วันที่ใช้เพื่อยกศาลพระภูมิ เมื่อปลอดจากวันที่ห้ามดังกล่าวที่กล่าวมาแล้วก็ต้องดูถีที่เป็นมงคลสำหรับยกศาลด้วย ตามแบบสากลที่นิยมกันในทางโหราศาสตร์ จะเลือกดิถีดังนี้ ๒ค่ำ๔ค่ำ๖ค่ำ๙ค่ำ๑๑ค่ำจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้

      สำหรับวันที่ใช้ตั้งศาลพระภูมิตามตำราภาษาศาสตร์และนามานุกรม กล่าวไว้ว่า วันจันทร์ ตั้งศาลพระภูมิบ่าวสาว วันอังคารตั้งศาลพระภูมิหอรบค่ายประตู วันพุธวันพฤหัสตั้งศาลพระภูมิ บ้านวันศุกร์ตั้งศาลพระภูมินา วันเสาร์ตั้งศาลพระภูมิทวาร สำหรับวันที่ใช้ตั้งศาลพระภูมิในตำราพรหมชาติกล่าวว่าวันพุธวันพฤหัสบดีตั้งศาลพระภูมิ วันพฤหัสบดี ตั้งศาลบ้านเรือน วันศุกร์ตั้งศาลสวน นาวัด วันอาทิตย์ วันพฤหัสบดีวันอังคาร ตั้ง ศาลประตูหอรบวันเสาร์ ตั้งศาลบันได วันจันทร์ วันพุธ ตั้งศาล เรือนหอโรงพิธี บ่าวสาว

    นอกจากนี้จะต้องคำนึงถึงฤกษ์ซึ่งกำหนดฤกษ์ตามวันที่ทำงานมงคลทั่วไป แต่จากตำราภาษาศาสตร์อละนามานุกรมกำหนดไว้ดังนี้ ฤกษ์ที่ ๔,๑๓,๒๒ซึ่งเรียกกันว่า “ภูมิปาโลกฤกษ์ “ ฤกษ์นอกจากนั้นตั้งศาลพระภูมิไม่ได้

     ก่อนที่จะตั้งศาลพระภูมิต้องเตรียมการไว้ให้เรียบร้อยก่อนกล่าวคือศาลพระภูมิที่เหมาะสมสวยงามมา๑ศาล เตรียมเจว็ดไว้ ๑ องค์ เจว็ดนั้นก็คือรูปพระภูมิเจ้าที่นั่นเองเป็นรูปเทวามือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือสมุด แต่ปัจจุบันนิยมซ้ายถือถุงเงิน  ศาลพระภูมิที่จะยกขึ้นนั้นตามประเพณีนิยมกำหนดให้สูงเพียงตาหรือเลยตาขึ้นไปเล็กน้อย

      เมื่อถึงวันจะประกอบพิธียกศาลพระภูมิ ให้เตรียมเครื่องกระยาบวช มีหัวหมู บายศรีปากชาม มะพร้าวอ่อน กล้วยขนมต้มขาว ขนมต้มแดง และสิ่งอื่นใดนองจากนี้สุดแต่โหราจารย์ผู้ประกอบพิธีนั้นกำหนดให้  บุคคลผู้ซึ่งจะปรกอบพิธียกศาลพระภูมิหรือโหราจารย์ที่เชิญมานั้นต้องนุ่งขาวห่มขาว เจ้าของบ้านจะต้องเตรียมผ้าคู่ไว้ให้ผู้ประกอบพิธี๑คู่ ธรรมเนียมพิธีตั้งศาลพระภูมิมีดังนี้

     เครื่องสังเวย การเตรียมเครื่องในการตั้งสาลพระภูมินั้นคือโต๊ะสำหรับวางเครื่องสังเวย๑ โต๊ะขนาดพอวางเครื่องสังเวยได้หมดเก้าอี้๑ตัวสำหรับตั้งหน้าโต๊ะเพื่อให้พระภูมินั่งร่มกระดาษการบังแสงอาทิตย์อย่าให้แสงอาทิตย์ถูกเก้าอี้สำหรับวางเจว็ด๑พานเงินบูชาครู๖บาทธูปเทียนประจำอย่างละ๓เล่มเทียนขี้ผึ่งแท้หนัก๑บาทใช้ใส่เทียนน้ำมนตร์หนัก๔บาท๑เล่มดอกไม้สีเหลือง๕ดอกข้าวตอก ถั่วงาคั่วถั่วทองดิบงาดิบอย่างละ๑กระทงกระแจะน้ำมันหอมบายศรีปากชามมีไข่ที่ยอด๑ฟองล้อมรอบอีก๓ฟองกล้วยน้ำหว้า๑หวีมะพร้าวอ่อน๑ผลขนมต้มแดงขนมต้มขาวฟักทองแกงบวดข้าวรำ๘ก้อนเป็ด๑ตัวไก่๑ตัวหัวหมู๑หัวปูทะเลต้ม๑ตัวปลายำ๑ตัวอ้อยควั่น๑จานเนยและนม๑ถ้วยน้ำชา๑ถ้วยหมากพลูบุหรี่๑พานผ้าขาว๒ผืนสำหรับผู้ประกอบพิธีหรือโหราจารย์ที่เชิญมาตั้งศาลพระภูมินั้นนุ่ง๑ผืนห่มสไปเฉียง๑ผืนสิ่งขิงเหล่านี้จะต้องเตรียมไว้ให้พร้อมที่จะทำการยกศาลพระภูมิ

    ตามตำราที่ชาวบ้านใช้กันคาถาเจิมแป้งเจว็ดว่าดังนี้ “เอหิชัยยะมังคัลภูมิเทวาชัยยะสทธีอาคันตะวา”เจว็ดต้องลงอักขระผูกด้วย “พุทธังรักษาธัมมังรัษาสังฆังรักษา”

    เมื่อกล่าวคาถาจบลงแล้วให้ยกเจว็ดขึ้น และหันหน้าเจว็ดไปทางศาลแล้วเดินเวียนขวารอบศาล๓รอบพร้อมกับบริกรรมคาถาเรื่อยไปจนครบ๓รอบดังต่อไปนี้ “โอมพระภูมิเทวาพระธรณีเทวาพระธรณีกรุงพาลีตัมเปยยะปริจาคโตเอหิสิสุขะสัมบัติสัพพะทา” เดินบริกรรมเรื่อยไปจนครบ๓รอบเมื่อบริกรรมคาถาเดินเวียน๓รอบแล้วก็ให้เชิญเจว็ดขึ้นไว้บนศาลพร้อมด้วยว่าคาถาว่า “สิโรเมพระภูมิเทวังสะระณังคัจฉามิติฎฐังวานนิสันนังวาสะยานังวาทิวาวารัตตังวาปัตตะ”แล้วก็วางพระภูมิไว้ตรงกลางในศาลแล้วว่าคาถานมัสการว่า “วันทิตตัตะวา ชะยะชะยะมังคะละภูมิสิทธิมะหิมาสิทธิกัมมังสิทธิวาจา”เมื่อกล่าวคาถานี้แล้วจึงกล่าวโองการอัญเชิญพระภูมิว่า “ข้าแต่พระภูมิเจ้าผู้เจริญ “ข้าพเจ้าขอถวายอภิวาทขอยอกรขึ้นเหนือเศียรจออัญเชิญพระภูมิอารักขะเทวดาที่อยู่รักษาเขตธรณีสถานบัดนี้ ท่านเจ้าบ้านได้จัดตั้งศาลขึ้น ณ สถานที่นี้จึงขออัญเชิญท่านผู้มีหน้าที่รักษาจงมาสถิตประดิษฐานอยู่ ณ ศาลนี้ ภุมมะเทวะตาอารักขะเทวะตาสะทาอัมเหอนุรักขันตุจงมาปกครองป้องกันเคหสถาน โดยท่านเจ้าของบ้านผู้มีใจภักดีจัดตั้งเครื่องพลีภักษาหารสังเวยน้อมนำถวายพร้อมด้วยเครื่องสุคนธ์อันมีกลิ่นหอมพุ้งขจรตลบไปขอให้พรภูมิชัยยะมงคลซึ่งเป็นโอรสแห่งพระเจ้ากรุงพาลีซึ่งท้าวเธอได้มีพระบัญชาประทานให้มาปกป้องรักษาสถานที่นี้จงได้กำจัดภูตผีปีศาลสัตว์ร้ายเปรตอสูรกายทั้งมนุษย์ทั้งหลายที่มีน้ำใจหยาบคายร้ายกาจทั้งพฤกษาชาติเครือเถาลดาวัลย์ที่ล้วนเป็นจัญไรล้วนอุบาทว์ ขอให้พระองค์ขับออกไปเสียให้ห่างไกลจากเขตนี้ ตลอดจนสรรพภัยต่างๆมีราชภัยอัคคีภัยโจรภัยเป็นต้นและสรรพทุกข์โศกโรคภัยพยาธิทั้งหลายขอให้พระองค์ทรงกำจัดเสียให้ห่างไกลอย่าให้มีมาพ้องพานตลอดจนสายอสุนีบาตสายฟ้าก็อย่าให้ต้องประสบขอสรรพสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลอัฏฐวิบูลย์ผลจงสำเร็จแก่ท่านเจ้าของบ้านนี้สิทธมัตถุอิทังผลัง ขอพระพรชัยที่ข้าพเจ้าได้กล่าวนี้จงเป็นผลสำเร็จจงเป็นผลสำเร็จจงเป็นผลสำเร็จขอความสุขความเจริญจงมีต่ท่านเจ้าของบ้านตลอดกาลนานเทอญ”

แล้วว่าคาถาปัดอุบาทว์ว่า “ยัสสานุสสะระเณนาปิอันตะลิกเขปิปาณิโนปติฏฐะมะธิคัจฉันติภูมิยังวิยะสัพพะระทาสัพพูปัททะวะชาลัมหายักขะโจราทิสัมภะวาคะณะนานะจพมุตตานังปริตรตันตัมภะณามะเส” โดยว่า ๓จบจากนั้นผู้ประกอบพิธีออกมาที่โต๊ะเครื่องสังเวยเฉืนเนื้อหมูเป็ดไก่ปลายำที่จัดมานั้นออกเป็นชิ้นอย่างละน้อยแล้วจุดเทียนปักบนโต๊ะเครื่องสังเวย กล่าวคาถาสังเวยว่า “ภุมมัสสะมิง ทิสาภาเค สันติ ภุมมา มหิตทธิกาเตปิ อัมเหอนุรักขันตุอาโรคะ เยนะ สุเขนะ จะสูปะโภชะนะ สัมปันนัง ปริภุญชันตุ ชะยะมังคะละเทวาตาสัพพะโทสัง ขะมัน ตุเม”

     ตอนนี้ตำราที่ชาวบ้านใช้กันว่าดังนี้ “นะโมเม ชะยะมังคะลังภูมิเทวานัง สัการะ วันทะนัง สูปะพะยันชะนะสัมปันนังโภชะนังสาลีนัง สะปะริวารัง อุทะกังวะรัง อาคัจฉันตุปริภุญชันตุ สัพพะทาดิ หิตายะสันติอุเทวานัง เคปิตุมเหอะนุรักษ์ขันตุอะโรคะเยนะสุเขนะจะพุทธัสสะปูชา ธัมมัสสะปูชา สังฆัสสะปูชาปะติ ปะติปูชายะ”

     ครั้นกล่าวคาถาสังเวยนี้จบลงแล้ว จะโปรยข้าวตอกดอกไม้บูชาแล้วนำของที่เฉือนไว้อย่างละเล็กละน้อย พร้อมกับสิ่งอื่นจัดใส่ลงในใบตองวางเรียงนายตามธูปเทียน จุดบูชาไว้ทั้ง๘ทิศ ต่อจากนั้นกล่าวคำขอพรชัยต่อไปตอนนี้ตำราที่ชาวบ้านใช้กันมีการแจกบัตร (แจกอาหารไปตามทิศ)พร้อมกันนี้ผู้ประกอบพิธีกรรมก็ว่าคาถาพร้อมกับที่ใช้ให้คนนำของในใบตองไปวางประจำทิศไปด้วยดังนี้

หมายเลขบันทึก: 454983เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2011 10:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 23:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท