หลอง(ยุ้ง)ข้าวเรื่องเล่าวิถีล้านนา


ยุ้งข้าวสะท้อนสภาพการผลิตภาวะเศรษฐกิจและการพึ่งตนเองของครัวเรือนและชุมชน

หลอง(ยุ้ง)ข้าวเรื่องเล่าวิถีล้านนา

       คติทางคนล้านนาในอดีตเชื่อว่า  การสร้างบ้านที่สมบูรณ์บริเวณบ้านจะต้องประกอบไปด้วย บ่อน้ำ  หลอง(ยุ้ง)ข้าว ครกกระเดื่องและครัวไฟ    หากแต่ปัจจุบันเมื่อมีโรงสีข้าว  ครกกระเดื่องก็หายไปจากบ้าน  บ่อน้ำยังคงมีอยู่แต่การใช้ประโยชน์ลดน้อยลงเพราะใช้ประปาหมู่บ้าน เช่นเดียวกับหลอง(ยุ้ง)ข้าว  ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนตามกาลสมัย   จากการศึกษาข้อมูลภาคสนามเกี่ยวกับหลอง(ยุ้ง)ข้าวในชุมชนชนบทล้านนา  ซึ่งทำร่วมกับมหาวิทยาลัยนร์อทเชียงใหม่  ได้พบข้อมูลที่น่าสนใจมากมายจากการบอกเล่าของผู้สูงอายุและปราชญ์ชาวบ้าน     และรู้สึกภาคภูมิใจกับภูมิปัญญาของบรรพชนเรื่องหลอง(ยุ้ง)ข้าว  ที่ซ่อนไว้ในสถาปัตยกรรม  เรื่องเล่า  คติความเชื่อและพิธีกรรมท้องถิ่น   จึงอยากแบ่งปันข้อมูลดังนี้คะ

ก. หลอง(ยุ้ง)ข้าวกับความมั่นคงของครัวเรือน

     หลองข้าวเป็นของคู่กับบ้านเรือนของคนล้านนา    ใช้สำหรับเก็บข้าวเปลือกไว้กินได้ตลอดปี ที่เหลือจึงแบ่งขาย    หลองข้าว  สะท้อนถึงความมั่นคงของครัวเรือน  ความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน  หากชุมชนหรือครัวเรือนใด  ประกอบด้วยหลองข้าวขนาดใหญ่แสดงถึงสถานะทางเศรษฐกิจ  การถือครองที่ดินเพื่อการเพาะปลูก  ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรเพื่อการเกษตรและทักษะในการผลิตของเกษตรกร

      หลองข้าวมีลักษณะเฉพาะเป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง หลายแห่งใต้ถุนสูงอาจกว่าเรือนอาศัย ขนาดของหลองข้าวกำหนดจากจำนวนเสา   ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็ก  4 – 6 เสา  ขนาดกลาง 8 – 10 เสาและขนาดใหญ่ 12 เสาขึ้นไป    เสาหลองข้าวนิยมใช้ไม้ต้นเดียวขนาดเล็กใหญ่สัมพันธ์กับจำนวนเสาของหลองข้าว  หากหลองข้าวขนาดใหญ่  มีเสาจำนวนมาก ก็นิยมใช้เสาขนาดใหญ่  บางแห่งมีเสาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  40 เซนติเมตร  โดยหลองข้าวโบราณนั้นเสาจะฝังเสาลงบนพื้นดิน

      ผู้อาวุโสในชุมชนเล่าให้ฟังว่า  สาเหตุที่คนโบราณต้องใช้เสาไม้ใหญ่เป็นเสาหลองข้าว เพราะต้องการให้แข็งแรง   สามารถรองรับน้ำหนักข้าว  หรือเพื่อป้องกันช้างมาทำลายเพื่อกินข้าว   เช่นเดียวกับแวง(รอด) ก็จะมีขนาดใหญ่  โดยบางแห่งมีขนาดประมาณ ๑๕ x ๒๕ เซนติเมตร   หรืออีกนัยหนึ่ง  บริเวณใต้หลองข้าว   ชาวบ้านจะนิยมเก็บอุปกรณ์เพื่อการทำนา  เช่น  แอก ไถ คราด  ครุ   หรือบางแห่งก็นิยมใช้พื้นที่ใต้หลองข้าวสำหรับเลี้ยงวัวควาย  ซึ่งก็ใช้เสาหลองข้าวสำหรับผูกเชือกวัวควาย 

          

                                                                          http://www.oknation.net/blog/print.php?id=439800

ข. ลักษณะของหลอง(ยุ้ง)ข้าวล้านนาโบราณ

         ความคิดการออกแบบทางวิศวกรรมหลองข้าวของคนโบราณน่าชื่นชมยิ่งนัก  ทั้งการออกแบบโครงสร้าง   ที่จะใช้เสาไม้ขนาดใหญ่ทั้งต้นเพื่อให้เกิดความแข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักของข้าวที่จะจัดเก็บในหลอง(ยุ้ง) ที่น่าสนใจยิ่งคือ   การตั้งเสาจะไม่ตั้งเสาตรงเช่นการสร้างอาคารโรงเรือนทั่วไป   หากแต่จะตั้งเสาคู้สองแถวในลักษณะสอบส่วนบนเข้าหากัน เหมือนเรือนฝาปะกนของภาคกลาง   โครงสร้างของหลองข้าว จะคล้ายกับเรือนกาแล คือมี เสา แวง ตง  ส่วนเครื่องบน ประกอบด้วย ขื่อ แป หัวเสา อกไก่ และอื่น ๆ เช่นเรือนกาแล
            สอบถามผู้สูงอายุได้ความว่า   การตั้งเสาลักษณะเช่นนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคง  เปรียบดังร่างกายของคนเราหากยืนตรง  หากถูกผลักจะเคลื่อนตามแรงผลักได้ง่าย  แต่หากยืนกางเท้าออกเมื่อถูกผลักไม่ว่า   ด้านซ้าย หรือขวา  ก็จะไม่ล้มง่าย ๆ 

          โครงหลังคาของหลองข้าวโบราณ   จึงมีลักษณะทั้งที่เป็นทรงจั่วหลังคาลาดคลุม ตัวหลอง(ยุ้ง)ต่ำ จั่วมีขนาดเล็ก   และหลังคาทรงคล้ายเรือนกาแล   อาจมีกาแลหรือไม่มีกาแลประดับปั้นลม   โดยทั้งสองแบบจะเน้นระบายอากาศและมีชายคายาวคลุมระเบียง  เพื่อกันแดดฝน  

            เอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของหลองข้าวโบราณล้านนาคือ จะนิยมทำระเบียงล้อมรอบ จึงอาจมีเสารับระเบียงควบคู่กันไปด้วย เสาระเบียงจะปักลงดินเช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า    บริเวณรอบนอกของระเบียงอาจปล่อยโล่ง หรือมีไม้ฉลุเป็นแผ่น ๆ ติดโดยรอบ ทำให้ดูสวยงาม และระเบียงโดยรอบห้องเก็บข้าวนี้  จะใช้เป็นพื้นที่เพื่อจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับเพาะปลูกในปีต่อไป  และเก็บเมล็ดพันธุ์ชนิดต่าง ๆ  ซึ่งครัวเรือนจะมีการคัดเลือกและจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดีเพื่อการเพาะปลูกในฤดูกาลต่อไป  

         พ่ออุ้ยคำ  อายุ  75 ปี เล่าว่า  “คนแต่ก่อน(โบราณ) คิดละเอียดมองกาลไกล  ข้าวก็แยกว่าส่วนไหนกิน  ส่วนไหนขายและส่วนไหนเป็นเชื้อพันธุ์    การตักข้าวมีกินก็ให้ใช้สติระมัดระวังไม่กินข้าวทิ้งขว้าง   ใต้ถุนหลองข้าวก็ใช้เก็บของหรือเลี้ยงสัตว์  ระเบียงหลองข้าวก็ใช้เก็บเชื้อพันธุ์พืชสำหรับครัวเรือนไว้ปลูกกิน ที่เหลือจึงขาย  ทำให้คนสมัยก่อนพึ่งตัวเองได้  และเหลือสายพันธุ์พืชท้องถิ่นไว้ให้ลูกหลาน  และที่สำคัญระเบียงนี้เองที่เป็นส่วนกั้นความร้อนจากแสงแดดและความชื่นจากน้ำหรือละอองฝนไม่ให้ปะทะกับข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในหลองหรือยุ้งข้าว  ทำให้สามารถเก็บรักษาข้าวไว้ได้นานและมีคุณภาพสำหรับการกิน ไม่แข็งหรือชื้นเสีย”

 

http://www.openbase.in.th/node/7079

         บริเวณส่วนตัวเรือนหลองข้าว  จะประกอบด้วย  ห้องเก็บข้าวสองห้อง  สำหรับเก็บข้าวไว้เพื่อขายและเพื่อบริโภค  มีห้องกลางหรือหลองพรางหรือหลองข้าวด่วน สำหรับเก็บข้าวสำรอง  สำหรับการใช้ข้าวในยามฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็นต้องหาฤกษ์วันที่เหมาะสม    ในส่วนของบริเวณห้องเก็บข้าวเปลือกจะนิยมทำประตูหรือช่องสำหรับปีนเข้า-ออกไว้ด้านหนึ่ง  ลักษณะของประตูห้องที่เก็บข้าวเปลือก   โดยจะไม่ทำประตูแบบเปิด-ปิดเหมือนประตูบ้านแต่จะเจาะเป็นช่องทำเป็นร่องไว้สองข้าง  สำหรับใช้ไม้กระดานเสียบ    โดยแผ่นไม้กระดานมักจะมีความกว้างประมาณ ๑๕ เซนติเมตร    เวลาใช้จะเรียงแผ่นต่อๆ กัน     ขนาดจำนวนแผ่นของไม้กระดานที่เสียบมาก-น้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับจำนวนข้าวเปลือกในแต่ละปี   โดยเจ้าของหลอง(ยุ้ง)ข้าว  จะเขียนตัวเลขกำกับไว้ที่แผ่นไม้กระดานเรียงลำดับตั้งแต่หมายเลขหนึ่งเป็นต้นไป   มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนข้าวและขนาดของหลอง(ยุ้ง) ข้าว   การเขียนหมายเลยติดแผ่นไม้ประตูนี้  เพื่อประโยชน์คือ  ให้ใส่แผ่นไม้คืนอย่างถูกต้องหลังจากเปิดเข้าห้องเก็บข้าวและบอกถึงปริมาณมากน้อยของข้าวที่มีอยู่

        บริเวณที่ข้างประตูห้องเก็บข้าวจะมี ปักขทืนกระด้าง คือ ปฏิทินถาวร ซึ่งเป็นแผ่นไม้ขนาดประมาณ ๖ x ๒๕ เซนติเมตรแขวนไว้   บนผิวของแผ่นไม้นี้จะขีดช่องทำเป็นตารางไว้สามแถว แถวบนบอกวันข้างขึ้น แถวกลางบอกเดือน และแถวล่างบอกวันข้างแรม โดยมีสัญลักษณ์บอกไว้ว่า  วันไหน เหมาะแก่การเอาข้าวออกจากหลอง(ยุ้ง) และวันไหน ห้ามการนำข้าวออกจากหลอง(ยุ้ง)   ซึ่งจากตำราแผนโบราณพื้นเมือง ระบุไว้ว่า วันที่ควรนำข้าวออกจากหลอง(ยุ้ง) คือ  เดือนใดก็ตาม ขึ้น ๕ , ๖ , ๗ ค่ำ ดี  ขึ้น ๑๐ และ ๑๑ ค่ำ ดีนัก   แรม ๖ , ๑๐ ค่ำ ดี  แรม ๑ ,๒ ,๓ ,๔ ,๑๒ , ๑๓ , ๑๔ , ๑๕ ค่ำ ดีนัก

             http://www.openbase.in.th/node/9647

             เชื่อกันว่าหากมิได้ปฏิบัติตามพิธีดังกล่าวมาข้างต้น ข้าวจะเปลือง หรือหมดเร็ว เพราะมีผีมาขโมยเอาไปกิน เล่ากันว่าที่ในถ้ำแกลบ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว ในถ้ำจะมีแกลบอยู่ทั่วไป เก่าบ้างใหม่บ้าง เชื่อว่าเป็นแกลบจากข้าวที่ผีขโมยไปกิน

           อย่างไรก็ตาม   ชาวล้านนาโบราณจะมีหลองพราง หรือหลองเข้าด่วนไว้บนหลอง(ยุ้ง)ข้าวด้วย  สำหรับหลองข้าวขนาดใหญ่อาจใช้วิธีการกั้นห้องกลาง  หรืออาจใช้เปี้ยด(กระบุง) หรือภาชนะสานขนาดใหญ่ ยาด้วยมูลวัว มูลควายสำหรับบรรจุข้าวเปลือกสำรองไว้ใช้เมื่อยามข้าวสารหมดโดยไม่ติดขัดฤกษ์วัน   หรือใช้สำหรับการแบ่งข้าวมาเพื่อบริโภคจากห้องเก็บข่าวเปลือกใหญ่   ดังนั้นเมื่อถึงวันดีที่ควรนำข้าวออกจากยุ้ง  ชาวบ้านก็จะนิยมตักข้าวเปลือก ออกมาพักไว้ที่หลองพราง หรือหลองข้าวด่วนนี้ เมื่อข้าวสารขาดมือลง ก็จะมาตักไปจากยุ้งสำรองเพื่อการบริโภคได้โดยไม่ติดขัด
            ทั้งนี้หลอง(ยุ้ง)ข้าวล้านนาโบราณ  จะไม่การสร้างบันได้ถาวร  หากแต่จะใช้กระไดพาด  สำหรับปีนขึ้นหลอง(ยุ้ง)ข้าว  เป็นครั้งคราว   โดยเหตุผลป้องกันการลักขโมยข้าวเปลือก 

 

ค.การปลูกสร้างหลอง(ยุ้ง)ข้าว
          เนื่องจาก หลอง(ยุ้ง)ข้าว เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญต่อวิถีชีวิตของครัวเรือนเป็นอันมาก  ทั้งในแง่การผลิตและการบริโภค ดังนั้นในการที่ปลูกสร้างหลอง(ยุ้ง)ข้าว จึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ   มีการกำหนดตำแหน่งในการปลูกสร้าง   ดังตำราแผนโบราณพื้นเมืองได้กล่าวว่า การจะปลูกสร้างยุ้งข้าว เพื่อให้อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหารนั้น ให้ตรวจดู ตามข้อกำหนด ดังนี้
            1.  ลูกคนหัวปี ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเรือน
            2.  ลูกคนที่สอง ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันออกของเรือน
            3.  ลูกคนที่สาม ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเรือน
            4.  ลูกคนที่สี่ ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศใต้ของเรือน
            5. ลูกคนที่ห้า ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันตกของเรือน
            6. ลูกคนที่หก ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศเหนือของเรือน
            7. ลูกคนที่เจ็ด ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเรือน
            8. ลูกคนที่แปด ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเรือน
            9. ลูกคนที่เก้า ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเรือน
           10. ลูกคนที่สิบ ให้ปลูกหลองข้าวทางทิศตะวันออกของเรือน

            ส่วนลูกคนที่ ๑๑ , ๑๒ , ๑๓ ...... ให้ ไล่วนไปตามลำดับที่กล่าวไว้แล้วนั้น
         ลักษณะความเชื่อเกี่ยวกับทิศนี้  คล้ายความเชื่อของชาวลั๊วะซึ่งเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม ที่ผสมผสานความเชื่อของพราหมณ์เกี่ยวกับจักรวาลวิทยา  ที่มองบ้านเหมือนเป็นศูนย์รวมของทิศทั้งแปด  หรือคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ ทางพุทธศาสนา ที่เชื่อว่า  มีพุทธานุภาพปกป้องกันภันอันตรายต่างๆ  อีกทั้งคติความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างหลอง(ยุ้ง)ข้าวของชาวล้านนา ยังมีความสัมพันธ์กับการสร้างบ้านเรือน   กล่าวคือ ชาวล้านนาจะให้ความสำคัญเรื่องฤกษ์มาก เพราะเชื่อกันว่า หากปลูกเรือนใน "มื้อจั๋น วันดี" คือฤกษ์ที่เหมาะสมแล้ว  ผู้อาศัยย่อมมีความสุขความเจริญ ความร่มเย็นเป็นสุข ความเป็นสิริมงคลและมีโชคลาภแก่เจ้าของบ้าน ครอบครัวตลอดจนข้าทาสบริวารอย่างยืนยาวต่อไป   ทั้งยังคำนึงถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติ การเกษตรและวิถีชีวิตผู้คน  ทั้งยังมีคติความเชื่อต่อพระ เจ้า ผีสาง เทวดา แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แผ่นดิน สายน้ำ ทางลม ฯลฯ     ทั้งนี้พ่ออุ้ยแก้ว  อายุ  70 ปี เล่าว่า 

        “  หลอง(ยุ้ง) ข้าวหลังเดิม  พ่อได้รับสืบทอดมาจากพ่อแม่   มีปัญหาเสาผุและหลังคาก็รั่ว  จึงรื้อและปลูกใหม่   ก็ใช้จารีตเดิม  โดยการปลูกที่เดิมหรือการใกล้ ๆ ที่เดิม  เพราะคิดว่า  ตำแหน่งเดิมดีอยู่แล้ว  เริ่มจากการหาฤกษ์วันเวลาดี แล้วทำพิธีขุดหลุมเสา โดยทำพิธีขอที่ดินกับพญานาคก่อนเพราะพญานาคเป็นสัตว์มีอิทธิฤทธิ์เป็นเจ้าแผ่นดิน จะอำนวยความสุขหรือภัยพิบัติให้มนุษย์ได้     ฉะนั้นต้องบูชาเซ่นสรวงผู้เป็นเจ้าเสียก่อน ในพิธีจะมีปู่อาจารย์เป็นผู้ทำพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ให้” เพื่อจะได้เป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้าน” 

            ง. ความเชื่อและพิธีกรรมการขนข้าวสู่หลอง(ยุ้ง)ข้าว

              วิถีชาวนาในชุมชนชนบทภาคเหนือมีความคล้ายคลึงกับชาวนาภูมิภาคอื่น ๆ คือ การบูชาแม่โพสพหรือย่าขวัญข้าว  ผู้เป็นเทพีแห่งข้าว  โดยเชื่อว่า  หากปฏิบัติต่อแม่โพสพด้วยความเคารพจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูกข้าว   ทั้งเชื่อว่า   ข้าวมีพระคุณสูงสูดต่อชีวิตคน  ดังคำกล่าวว่า   “ข้าวเป็นเจ้า  น้ำเป็นนาย”   ดังนั้นจึงมีพิธีกรรมความเชื่อหลายประการเกี่ยวกับข้าว    สำหรับพิธีกรรมหลังการเก็บเกี่ยว   ก่อนการนำข้าวสู่หลอง(ยุ้ง)ข้าว  ชาวนาจะทำพิธีขอขมาและขอบคุณแม่โพสพ และเชิญแม่โพสพหรือข้าวขึ้นสู่หลอง(ยุ้ง)ข้าว  โดยเชื่อว่า  จะทำให้ข้าวไม่หายและหมดไปจากหลอง(ยุ้ง)เร็ว   โดยจะเลือกทำพิธีในวันที่ขนข้าวขึ้นหลอง(ยุ้ง)เสร็จแล้ว หากไม่ทันก็อาจทำในวันรุ่งขึ้นก็ได้

              พิธีกรรมทำแบบเรียบง่าย ประกอบด้วยเครื่องบูชาคือ  ข้าว ไข่ต้ม กล้วย ๑ ผลขนมต่าง ๆ ดอกไม้ ธูปเทียน จัดใส่กระทงใบตองหรือพานเล็ก ๆ   ผู้ที่เป็นพ่อนา(ผู้ทำนา)จะใช้ไม้ไผ่ยาวประมาณ ๒ เมตร ปล้องของไม้บนสุดทุบให้แตกเป็นซีก ๆ แล้วดุนให้ถ่างออกป่องตรงกลาง คล้ายกับที่เรียกกันว่ารังมดส้ม (มดแดง)   และไม้นะโมตาบอด พร้อมด้วยรวงข้าวที่เก็บจากนาไว้ก่อนนั้น  เมื่อไปถึงพ่อนา(ผู้ทำนา)จะฝังหรือปักไม้ไผ่ที่เป็นรังมดแดงกลางตาลาง  (ลานนวดข้าว) เอากระทงใบตองซึ่งบรรจุเครื่องบูชาใส่ปลายไม้ไผ่รูปรังมดแดง ผูกรวงข้าวแขวนลงในกระทง ปักไม้นะโมตาบอดซึ่งเป็นเครื่องป้องกันมิให้ผีมาขโมยข้าวไว้ที่ 4 มุมของลาน แล้วจุดธูปเทียน

             ผู้หญิงในครัวเรือนจะใช้ทัพพีกวักไปรอบ ๆ ในบริเวณนั้น เพื่อกวักเอาขวัญข้าวให้มาอยู่รวมกัน ด้วยการพูดเป็นโวหารเอาเอง ด้วยคำที่เป็นมงคลเมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงหยิบเอาเมล็ดข้าวที่ตกบริเวณนั้นสัก 2 - 3 เม็ด หรือจะหยิบเอาเศษฟางก็ได้สมมุติว่าเป็นขวัญของข้าวใส่ในกระทงใบตอง นำเอากระทง และไม้นะโมตาบอดกลับบ้าน   ปักไม้นะโมตาบอดไว้ที่ ๔ มุม ในหลอง(ยุ้ง)ข้าวแล้วเอากระทงขวัญข้าววางไว้จุดใดจุดหนึ่งในหลอง(ยุ้ง)ข้าว  แล้วเอากระดองเต่า หรือฟักเขียว วางไว้ข้างบนข้าว โดยเปรียบสมมติว่า  เพื่อให้เต่าหรือฟักคอยกกฟักให้ข้าวอยู่นาน ๆ เหมือนกับเต่าฟักไข่ พร้อมกับกล่าวออกเสียงเบา ๆ ว่า

               “ขอให้ข้าวจงอยู่ในนี้เน่อ อย่าได้ออกไปทางใด เพราะว่าเดือน 4 เพิ่นจักปล่อยช้างปล่อยม้า เดือน 5 เพิ่นจักปล่อยงัวปล่อยควาย (ขอให้ข้าวจงอยู่ในยุ้งนะ อย่าได้ออกไปที่ไหน เพราะว่า เดือน 4 เขาจะปล่อยช้างปล่อยม้า  เดือน 5 เขาจะปล่อยวัวควาย  ”   ซึ่งคำกล่าวนี้ดูเสมือนเป็นการสอนเตือนข้าวไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่นที่แห่งใดเกรงว่าจะได้รับอันตรายถูกช้างม้าวัวควายเหยียบ

            จ. หลองข้าวล้านนากับวิถีการเปลี่ยนแปลงของชุมชน

            ปัจจุบันหลอง(ยุ้ง)ข้าวแบบล้านนา  ซึ่งเคยอยู่เคียงคู่เรือนล้านนา   ได้เริ่มสูญหายไปจากชุมชนชนบท  ด้วยเหตุผลมากมายอาทิ

  1. การดูแลรักษาและการใช้งาน

       หลอง(ยุ้ง)ข้าวล้านนา  มีลักษณะเป็นเสาไม้กลม  ฝังลงดิน  หลังคานิยมมุงด้วยดินขอ(กระเบื้องดินเผาขนาดเล็ก)  ส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นปี  ทำให้เริ่มมีปัญหาเรื่องการผุกร่อน  การรื้อเพื่อสร้างใหม่ต้องใช้กำลังทรัพย์จำนวนมาก  และข้อห้ามการนำหลอง(ยุ้ง)ข้าวไปปรับสร้างเป็นบ้านเรือน    ประกอบกับมีพ่อค้ามาติดต่อขอซื้อในราคาสูง  ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากตัดสินใจขายหลอง(ยุ้ง)ข้าว แบบโบราณที่สืบทอด  และปรับเปลี่ยนเป็นหลอง(ยุ้ง)ข้าวสมัยใหม่  โดยให้เหตุผลว่า   หลอง(ยุ้ง)ข้าวโบราณมีใต้ถุนสูง  ไม่สะดวกต่อการเก็บและขนย้ายข้าว จึงเลือกสร้างหลอง(ยุ้ง)ข้าว แบบใต้ถุนเตี้ย และสร้างแบบประหยัด ลดรูปทรงทั้งหลังคา  และระเบียง   ดังคำบอกเล่าของพ่อบุญมี   

       “หลองข้าวรุ่นเก่า  เขาว่า  มันสูงใส่ข้าวตักข้าวยาก  ต้องใช้แรงงานคนหลายคน  ทั้งมันใช้งานมาก่อน  เสาที่ฝังดินก็ผุ  หลังคาก็รั่ว  ซ่อมก็ใช้เงินเยอะ   จะรื้อเอาไม้มาทำบ้านก็ไม่ได้ เพราะคนแต่ก่อนสั่งสอนกันว่า  ไม่ให้นำไม้หลอง(ยุ้ง)ข้าวมาทำบ้านเรือน  มันจะเป็นขึด(ข้อห้ามหรือสิ่งไม่ดี)  แก่คนทำและคนที่อาศัย  เพราะเราถือว่า  หลอง(ยุ้ง) ข้าวเป็นของสูงสำหรับใส่ข้าว  ใครดื้อรื้นไม่เชื่อตาม  ก็จะพบเรื่องไม่ดีในชีชีวิต   คนรุ่นใหม่จึงนิยมทำหลองข้างเตี้ย และขายหลองข้าวเก่าเพราะราคาดี   และหลองข้าวเก่าก็สู้ขึดของคนรวยนายทุนและความเจริญสมัยใหม่ไม่ได้ หลอง(ยุ้ง)ข้าวบ้านเรา  จึงไปเป็นบ้านพักคนรวย”

 

2. การเปลี่ยนแปลงการผลิต

      แต่เดิมชาวนาทำนาเพื่อกิน เหลือจากกินจึงนำไปขาย   แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการทำนา เพื่อขาย   ดังนั้นชาวนาจำนวนไม่น้อยนิยมขายข้าวทันทีที่เก็บเกี่ยว  จึงไม่มีการนำข้าสู่หลอง(ยุ้ง)ข้าว     นอกจากนี้ในหลายพื้นที่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นาข้าวเป็นสวนลำไย  ในลักษณะเช่นนี้ทำให้ความจำเป็นของการมีหลอง(ยุ้ง) ข้าวก็ลดน้อยลง  ดังคำบอกเล่าของพ่อน้อยสม 

              “แต่ก่อนการปลูกข้าว   เราแบ่งที่นาว่า  ใช้ปลูกข้าวเหนียวกินอันดับแรก  ที่เหลือจึงปลูกข้าวจ้าวไว้ขาย  และการขายข้าวนั้น   เราจะเก็บข้าวไว้ก่อน  ข้าวจ้าวใหม่จะมีราคาถูกแต่หากเก็บค้างปีจะมีราคาปี  ที่สำคัญคือ  การเก็บข้าวใส่หลอง(ยุ้ง)ข้าว  เป็นการเก็บข้าวเพื่อกิน  และแบ่งขายเมื่อมีราคา   แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ปลูกข้าวเพื่อขายมากกว่าเพื่อกิน   เรากินข้าวเหนียวแต่ปลูกข้าวจ้าวเพื่อขาย  เพราะคิดว่า ข้าวจ้าวราคาแพงกว่า    และเกี่ยวข้าวเสร็จก็ขายทันทีไม่นำกลับมาเก็บที่หลองข้าว  จึงทำให้หลองข้าวไม่ถูกใช้ประโยชน์  เมื่อมีคนมาขอซื้อราคาดี ก็พากันขาย  หลองข้าวจึงไปอยู่รีสร์อทกับบ้านคนมีเงิน และเมื่อไม่มีที่เก็บข้าวเราก็ซื้อข้าวกิน   กลายเป็นไม่มีความมั่นคงเรื่องอาหาร”

 

3.การปรับเปลี่ยนอาชีพของคนรุ่นใหม่

       หากไปเยี่ยมเยือนท้องทุ่งนาในยามเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวจะพบว่า  คนที่ทำนาส่วนใหญ่ เป็นคนวันกลางคนตั้งแต่สี่สิบปีขึ้นไป   คนวัยหนุ่มสาวก็เรียนต่อในระดับสูงและนิยมทำงานห้างร้าน  ดังนั้นหลายแห่งจึงนิยมใช้แรงงานคนต่างด้าวเพื่อทำนา    ทำให้น่าหวงใยต่อสถานการณ์คนทำนาในอนาคตว่า จะลดลงเรื่อย ๆ  ดังคำบอกเล่าของพ่อบุญมี 

        “สิ่งที่พ่อหวงคือ  คนรุ่นใหม่เรียนหนังสือ และไปทำงานบริษัทห้างร้านหรือรับราชการ  ตอนนี้คนทำนาคือ  คนรุ่นสี่สิบห้าปีขึ้นไป  และเราต้องจ้างคนชาวเขาหรือคนพม่า มาปลูกข้าว  หรือต้องจ้างรถเกี่ยวข้าว  ราคาปุ๋ยยาก็แพง  ทำให้ต้นทุนการทำนาของเราสูง  ในขณะที่ราคาข้าวก็ไม่แพง   ชาวนาเหลือรายได้ไม่มาก  ยิ่งหากเผชิญกับปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วม หรือเพลี้ยระบาด ข้าวเป็นโรค เรายิ่งแย่  เป็นเช่นนี้ชาวนาที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศจะอยู่อย่างมีศักดิศรีได้อย่างไร   และจะมีใครอยากให้ลูกหลายเป็นชาวนา   และหากที่นาไม่มีคนทำ  อีกทั้งพื้นที่เมืองก็ขยายอยู่ตลอด    จึงมักมีนายทุนบ้านจัดสรรมาให้ราคาแพง ๆ ชาวนาจำนวนมากก็ขายที่นา  เมื่อหมดการทำนาหลอง(ยุ้ง)ข้าวก็หมดบทบาท  ดังนั้นบางแห่งก็นำเอาหลอง(ยุ้ง)ข้าวมาสร้างเป็นเรือนรับรองไว้รับแขก”

 

3.ขาดความเข้าใจถึงนัยสำคัญของสถาบัตยกรรมล้านนา

     มีคำกล่าวว่า  ในสังคมที่แข่งขัน  คนรุ่นใหม่ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรีบเร่ง และคำนึงถึงเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ทำให้ศิลปะหลายอย่างสะท้อนสภาพความคิดที่เสมือนลดทอนสุนทรียภาพ ทางจิตวิญญาณ   เช่นเดียวกับการสร้างหลอง(ยุ้ง) ข้าวของคนรุ่นใหม่  ที่สร้างแบบประหยัดทรัพยากร   ลดองค์ประกอบหลายด้าน เช่น  หลังคา  เสา  ระเบียง  ซึ่งไม่ใช่เพียงความงามที่ลดลง  หากแต่คุณค่าใช้สอยที่เปลี่ยนไป  ทั้งโดยการรู้หรือไม่รู้เท่าทันต่อคุณค่าของสถาบัตยกรรมหลอง(ยุ้ง)ข้างล้านนาแบบดั้งเดิม   ดังที่พ่ออุ้ยหนานปันที่เล่าว่า    

             “คนรุ่นใหม่หลายคนมองว่า  หลองข้าวรุ่นเก่า   ไม่สะดวกสำหรับการเก็บและใช้ข้าว เพราะใต้ถุนสูง   ต้องใช้กระไดพาดขึ้นไป  เวลาจะนำข้าวใส่หลอง(ยุ้ง)หรือตักข้าวออกก็ลำบาก ต้องใช้แรงงานคนมาก   ประกอบกับเสาหลองข้าวรุ่นเก่าที่เป็นเสาฝังดินเริ่มผุ   หลังคารุ่นเก่าที่ใช้ดินขอ(ดินเผาแผ่นเล็ก) ก็ชำรุด  ดูแลยาก  ดังนั้นเมื่อมีคนภายนอกมาขอซื้อให้ราคาดีก็ขาย  หลังละ 5 หมื่น – 2 แสนบาท     และมาปลูกหลองข้าวยกพื้นแบบเตี้ย ๆ ไม่ต้องปีนบันไดสูง  บางหลังลดรูปหลังคาแบนเตี้ยชายคาสั้น  และไม่มีระเบียงเหมือนเดิม  ผลก็คือ  อาจสะดวกในการใช้แต่ส่งผลในการเก็บรักษาข้าว  เพราะทำให้แสงแดด  ไอฝน ปะทะโดนผนังห้องเก็บข้าว  ทำให้ข้าวชื้นหรือแห้งเกินไป  เวลาไปขัดสี เมล็ดข้าวจะหักง่าย”

         “มีบางคนไม่ถามคนเก่าแก่เรื่องหลอง(ยุ้ง)ข้าว  คิดสบายโดยการก่อสร้างหลองข้าวแบบเตี้ยไม่ยกพื้น  ใช้วิธีการเทราดพื้นซีเมนต์  และใช้สาดกะลาปู จากนั้นใส่ข้าวทับ  ปรากฏว่า  เมื่อฝนตกข้าวชื้นเป็นรา เพราะไอน้ำซึมผ่านซีเมนต์เข้าสู่ข้าวเปลือก”

        ส่งท้าย

          คติความเชื่อในการสร้างหลอง(ยุ้ง)ข้าวของชาวล้านนา  นอกจากจะบ่งบอกถึงความสวยงามด้านสถาปัตยกรรมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวแล้ว ยังผสมผสานกับภูมิปัญญาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม  หลักธรรมและสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนอย่างเหมาะสมกลมกลืน

         หากแต่กระแสโลกาภิวัตน์  ที่รุกเร้าสู่ชุมชนหมู่บ้านโลกทั้งหลาย  ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนทั้งในเมืองและชนบท   ชนบทที่เคยเรียบง่าย  เริ่มรีบเร่งเพราะทุนนิยม  การเกษตรแบบพึ่งตนเองอย่างพอเพียง ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรเพื่อการค้า  การทำนาเพื่อได้ข้าวสำหรับกิน  ปรับเปลี่ยนเป็นทำนาเพื่อได้ข้าวสำหรับขาย  หลอง(ยุ้ง) ข้าวที่เคยทำหน้าที่ใส่ข้าวไว้กินทั้งปีและแบ่งส่วนที่เหลือขายในปลายปี  ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน   หลอง(ยุ้ง)ข้าวหลายบ้านไม่ได้ใช้เก็บข้าวอีกต่อไป เพราะข้าวถูกขายยังที่นา  ไม่นำกลับมาบ้าน   หน้าที่ของหลอง(ยุ้ง)ข้าวจึงลดลง  และเมื่อเงินคือสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิตในสังคม  หลอง(ยุ้ง)ข้าวที่ได้รับการเสนอราคาแพง  จึงถูกขายแก่พ่อค้า  คติที่ว่า บ้านเรือนที่สมบูรณ์ต้องมีหลอง(ยุ้ง)ข้าวเคียงข้างจึงเปลี่ยนเป็นปัจจัยอื่นแทน

       วันนี้  เราจักทำเช่นไร  จึงจะรักษาหลอง(ยุ้ง)ข้าวแบบล้านา  ซึ่งเสมือนตำนานวิถีชีวิตคนล้านนา ให้ยังคงมีเรื่องเล่าขับกล่อมให้สู่ลูกหลานเห็นถึงวิถีของบรรพชน เพื่อให้ยังคงศรัทธาในวิถีล้านนาของตนเอง          

หมายเลขบันทึก: 453476เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2011 00:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

น้อมมะลิพุ่มดอกไม้ไว้เหนือเศียร
ต่างธูปเทียนบูชาไท้มไหศวรรย์
ทรงพระชนม์พ้นกาลนานนิรันดร์
เป็นมิ่งขวัญทั่วแดนในแผ่นดิน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท