กรุงรัตนโกสินทร์ ความเชื่อในลัทธิและพิธีกรรมแบบพราหมณ์ยังคงความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กำลังสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ และต้องสร้างความมั่นคงให้แก่พระราชอาณาจักร ประกอบกับยังอยู่ในภาวะสงครามที่ยังคงติดพันมาจากสมัยกรุงธนบุรี พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้าเพื่อเป็นศูนย์กลางของพระนครที่สร้างขึ้นใหม่ และสร้างขวัญและกำลังใจแก่ชาวพระนคร
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ให้เป็นเมืองหลวงแห่งพระราชอาณาจักรโดยได้ทรงสร้างพระนครใหม่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความเหมาะสมหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงปลอดภัย และความเจริญรุ่งเรืองของพระนครด้วยเป็นบริเวณที่ลำน้ำตกท้องคุ้งมีการทับถมทางฝั่งตะวันออกไม่เป็นอันตรายต่อพระบรมมหาราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ และด้วยสภาพของลำน้ำที่เป็นคุ้งเช่นนี้ทำให้ลำน้ำโอบรอบบริเวณที่จะสร้างเป็นพระนครใหม่ทางด้านตะวันตกของพระบรมมหาราชวัง และขุดคูทางด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังให้มาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศเหนือและทิศใต้ คือ คลองรอบกรุง และสร้างกำแพงพระนครตามแนวคูที่ขุดขึ้น เพื่อให้เป็นพระนครที่แข็งแรงมั่นคง นอกจากนี้บริเวณฝั่งตะวันออกพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นท้องทุ่งและที่ลุ่ม ยังไม่เป็นเรือกสวนไร่นาและย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นเหมือนดังฝั่งตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของกรุงธนบุรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้รักษาแบบแผนของการสร้างกรุงแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีคือการสร้างหลักเมืองขึ้นมาก่อน ในวันอาทิตย์ เดือนหก ขึ้น ๑๐ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ ฤกษ์เวลาย่ำรุ่งแล้ว ๕๔ นาที ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำพิธียกเสาหลักเมือง ชัยภูมิที่ตั้งหลักเมืองนั้น อยู่ประมาณใจกลางพระนครใหม่ จากนั้นจึงสร้างพระบรมมหาราชวังเป็นศูนย์กลางของพระราชอำนาจ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นเดียวกับพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงศรีอยุธยาสร้างพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เทียบได้กับวังหน้า หรือพระราชวังจันทรเกษม และสร้างวัดสำคัญสำหรับเมืองอันเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พระนครอยู่ในพระบรมมหาราชวังชั้นนอก คือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพื้นที่ระหว่างพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรฯ ได้กำหนดให้เป็นทุ่งพระเมรุหรือท้องสนามหลวง เพื่อใช้ในการประกอบพระราชพิธีสำคัญของบ้านเมืองเช่น พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระราชพิธีแรกนาขวัญ และพระราชพิธีอื่นๆ สำหรับพระนคร
ในพุทธศักราช ๒๓๒๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายขอบเขตของพระนครออกไปทางตะวันออก ให้กว้างออกไปกว่าเก่า โดยขุดคลองคูพระนครด้านตะวันออก ตั้งแต่บางลำพูนมาออกแม่น้ำเจ้าพระยาด้านใต้ เหนือวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร) พระราชทานชื่อว่าคลองรอบกรุง แล้วขุดคลองหลอดจากคลองคูเมืองเดิม ๒ คลอง (คลองหลอดวัดเทพธิดา และคลองหลอดวัดราชบพิธ) ออกไปบรรจบคลองรอบกรุงที่ขุดใหม่ และขุดคลองใหญ่เหนือวัดสะแกอีกคลองหนึ่ง พระราชทานนามว่า คลองมหานาค เป็นที่สำหรับประชาชนชาวพระนครจะได้ลงเรือ ไปประชุมเล่นเพลงและสักวาในเทศกาลฤดูน้ำเหมือนเมื่อครั้งกรุงเก่าและวัดสะแกนั้น เมื่อขุดคลองมหานาคแล้ว พระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ และในปีเดียวกันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารหลวงคือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตอยู่ในบริเวณเดียวกับพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ของกรุงศรีอยุธยา
เมื่อได้ขยายเมืองจากการกำหนดเขตเมืองใหม่ ด้วยการขุดคลองรอบกรุง (คลองบางลำพู - คลองโอ่งอ่าง) ในพุทธศักราช ๒๓๒๖ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้มีการกำหนดจุดศูนย์กลางของพระนครขึ้นใหม่ หรือที่เรียกว่า “สะดือเมือง” และ ณ ที่นั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ตั้งของเทวสถานโบสถ์พราหมณ์และเสาชิงช้า สำหรับประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย อันเป็นพระราชพิธีสำคัญคู่พระนครหลวง
การที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้างเทวสถานโบสถ์พราหมณ์และเสาชิงช้า บนพื้นที่ที่เป็น “สะดือเมือง” หรือศูนย์กลางของพระนครขึ้นนี้ กล่าวกันว่าพราหมณ์ชื่อพระครูสิทธิชัย (กระต่าย) เป็นพราหมณ์ชาวเมืองกรุงเก่าได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขอให้ตั้งเสาชิงช้าตรงบริเวณที่ถือว่าเป็นใจกลางพระนคร โดยวัดจากกำแพงเมืองด้านฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางตะวันตกถึงกำแพงเมืองฝั่งป้อมมหากาฬ แล้วสร้างขึ้นตรงกลางเมือง สำหรับประกอบพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายตามโบราณราชประเพณี และด้วยคติความเชื่อของพราหมณ์ที่ว่าเพื่อให้บ้านเมืองมั่นคงแข็งแรงเป็นการแสดงความกตัญญูต่อมหาเทพทั้งสามผู้สร้างและปกปักรักษาโลก และเป็นเครื่องเตือนใจให้ไม่ประมาท ตามตำนานพระอิศวรทดสอบความแข็งแรงของโลก
ครั้นการสร้างพระนครสำเร็จลงในพุทธศักราช ๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็มตามตำราดังพระราชดำริว่า
“เมื่อปีขาลจัตวาศก ได้ทำการพระราชพิธีปราบดาภิเษกแต่โดยสังเขป ยังไม่พร้อมมูลเต็มตำรา และบัดนี้ก็ได้ทรงสร้างพระนคร และพระราชมนเทียรสถานขึ้นใหม่ ควรจะทำพระราชวังพิธีบรมราชาภิเษกให้เต็มตามแบบแผน โบราณราชประเพณีจะได้เป็นพระเกียรติยศและเป็นศรีสวัสดิมงคลแก่บ้านเมือง เป็นที่เจริญสุขแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎรทั่วไปในพระราชอาณาเขต...”
ครั้นเสร็จการพระราชพิธีบรมราชภิเษกแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการสมโภชพระนครต่อเนื่องกันไป แล้วจึงพระราชทานนามพระนครใหม่ว่า
“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”
ต่อมา พุทธศักราช ๒๓๔๙ ปลายรัชการพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงได้โปรดให้สถาปนาวัดมหาสุทธาวาส ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุทัศน์เทพวราราม เพื่อให้เป็นวัดใหญ่คู่พระนครเช่นเดียวกับวัดพนัญเชิงแห่งกรุงศรีอยุธยา โดยได้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ ณ วิหารหลวงวัดมหาธาตุ แห่งกรุงสุโขทัยมาประดิษฐานเป็นพระประธานวิหารหลวงวัดสุทัศนฯ อันเป็นการสถาปนาพระพุทธศาสนาให้เป็นหลักพระนครคู่กับเทวสถานโบสถ์พราหมณ์
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๗ ประกอบด้วยอาคาร ๓ หลัง อันมี
สถานพระอิศวร มีขนาดใหญ่ที่สุด และก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนไม่มีพาไล หน้าบันมีเทวรูปปูนปั้นนูนรูปพระอิศวร และพระอุมาประทับอยู่ในวิมาน และเครื่องมงคลอันได้แก่ สังข์ กลศ กุมภ์ ใต้รูปวิมานมีเมฆและโคนันทิ หน้าบันด้านหลังไม่มีลวดลาย ภายในเทวสถานประดิษฐานเทวรูปพระอิศวรสำริด ประทับยืนขนาด ๑.๘๗ เมตร ปางประทานพร ด้านหลังเบญจามีศิวลึงค์ ๒ องค์ ทำด้วยหินสีดำ สองข้างแท่นลดมีเทวรูปพระอิศวรทรงโคนันทิ และพระอุมาทรงโคนันทิ ตรงกลางโบสถ์มีเสาชิงช้าขนาดเล็ก สำหรับประกอบพิธีช้าหงส์ในพระราชพิธีตรีปวาย
สถานพระพิฆเณศวร (โบสถ์กลาง) สร้างด้วยอิฐถือปูนมีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคาชั้นลด ๑ ชั้น ภายในโบสถ์มีเทวรูปพระพิฆเณศวร ๕ องค์ สร้างด้วยหินแกรนิต ๑ องค์ หินทราย ๑ องค์ หินเขียว ๒ องค์ และสำริดอีก ๑ องค์ ประทับนั่งทุกองค์ ประดิษฐานบนแท่นเบญจา
สถานพระนารายณ์ (ด้านในสุด) สร้างด้วยอิฐถือปูนมีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช่นเดียวกับสถานพระพิฆเณศวร ภายในเป็นชั้นยกตั้งบุษบก ๓ หลัง หลังกลางประดิษฐานพระนารายณ์ทำด้วยสำริดประทับยืน เป็นประธาน บุษบกอีก ๒ ข้าง ประดิษฐานพระลักษมีและพระมเหศวรี ทำด้วยปูน ประทับยืน ซึ่งเป็นองค์จำลองของเดิมซึ่งได้ย้ายไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ตรงกลางโบสถ์มีเสาชิงช้าขนาดย่อมสำหรับประกอบพิธีช้าหงส์
การสร้างเสาชิงช้าและเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ในพื้นที่นอกคลองคูเมืองเดิมบริเวณที่เป็นสะดือเมืองได้กลายเป็นปัจจัยที่นำความเจริญประการหนึ่ง โดยเฉพาะเอมีถนนเสาชิงช้าเป็นแกนจากพระบรมมหาราชวังสู่ประตูเมืองสำราญราษฎร์ จนเป็นเหตุให้พื้นที่บริเวณนี้มีผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานหนาแน่นขึ้นตามกาลเวลา และเป็นจุดศูนย์กลางพระนครด้วยการสร้างวัดสุทัศนฯ
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
อ้างอิง
ผุสดี จันทวิมล. กรุงเทพฯ ศึกษาเพื่อการท่องเที่ยว = Bangkok study for tourism : HI 429. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.๒๕๔๙.
สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร. จดหมายเหตุบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้า พุทธศักราช ๒๕๔๙. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : บริษัท ดาวฤกษ์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (หนึ่งในกลุ่มบริษัททีม). ๒๕๕๑.
ไม่มีความเห็น