ประวัติพระพุทธศาสนา๒


ประวัติพระพุทธศาสนา

บทที่ ๒

 

พระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ ๑                

 

ความนำ

                   หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๓ เดือนก็เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนาขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจถือว่าเป็นจุดหักเหของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว นั้นคือการสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ทำ ณ กรุงราชคฤห์แคว้นมคธ โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน การสังคายนาครั้งนี้ นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการรวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัยให้เป็นระบบ และหมวดหมู่ ที่สำคัญ การสังคายนาครั้งนี้ พระเถระทั้งหลายได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงพระธรรมวินัยไว้ดังเดิม โดยไม่มีการเพิ่มหรือตัดออก ดังนั้นเราจึงเรียกมติของพระเถระจำนวน ๕๐๐ รูป ผู้เข้าร่วมสังคายนาครั้งนี้ว่า “เถรวาท” อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ ๑  ขึ้นเป็นเรื่องที่นักศึกษาควรทราบดังนี้

 

๒.๑  แนวคิดการจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยสมัยพุทธกาล

                   อันที่จริงความคิดเรื่องสังคายนานั้น ได้เคยมีมาตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน  พระสารีบุตรอัครสาวก ได้เคยปรารภขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า  เนื่องจากเมื่อมหาวีระ  นิครนถ์นาฎบุตร  สิ้นชีพแล้ว หลังจากวันสิ้นชีพเพียงเล็กน้อย  พวกสาวกก็ย้ายแยกแตกความเห็นกัน   ฝ่ายหนึ่งว่า  อาจารย์ว่าอย่างนี้  อีกฝ่ายหนึ่งว่าอาจารย์ว่าอย่างนั้น  พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศทางปัญญา ได้รับเอตทัคคะจากพระพุทธเจ้า  มองเห็นกาลไกลว่า ควรจะมีการสังคายนาคำสอน  และข้อบัญญัติของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งคราว    กำหนดจดจำกันไว้ให้แม่นยำ เพื่อมิให้ต้องโต้เถียงและแตกแยกความเห็นกัน เหมือนสาวกมหาวีระ พระพุทธเจ้าตรัสชมความคิดของพระสารีบุตรว่า  เป็นแนวความคิดที่ดีมาก และพระจุนทเถระปรารภการนิรวาณของท่านมหาวีระ จนสาวกแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย  ได้เสนอให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัย จนพระสารีบุตรเถระได้รับพุทธานุมัติให้จัดทำ แต่พระสารีบุตรก็ทำไม่สำเร็จ นิพพานก่อนพระพุทธเจ้า  

              ความดำรงมั่นของพระธรรมวินัย[1]                พระธรรมและวินัย  คือ พระพุทธศาสนา คือตัวแทนพระพุทธเจ้า ดังที่พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า  เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว      ใครจักเป็นศาสดาแทนพระองค์  พระองค์ได้ตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า  พระธรรมวินัยเป็นตัวแทนพระศาสดา  เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ถ้ามีเพียงพระธรรม   คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ไม่มีสาวกประพฤติปฏิบัติและนำเผยแผ่พระธรรมก็จะหายไป มีเพียงพระวินัยแต่ไม่มีผู้ประพฤติปฏิบัติพระวินัยก็จะหายไปเช่นกัน มีแต่ศึกษาแต่ไม่มีการปฏิบัติ    หรือมีก็น้อยลงไปทุกที ๆ การดำรงมั่นของพระธรรมวินัยก็อาจเสื่อมไปก็ได้ 

                   ดังนั้นการทำสังคายนา จึงหมายถึงการสอบสวนทบทวนถ้อยคำพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้นั้น ให้เป็นที่ยอมรับกันว่าถูกต้อง หรือพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ สวดพร้อมกัน เหมือนกับพระสงฆ์สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นทุกวันนี้    ถ้าองค์ไหนสวดผิดก็จะรู้กันทันที     ยิ่งกว่าการเขียนอักษรไทยลงในพระไตรปิฎก ซึ่งอาจจะมีการคลาดเคลื่อนได้  แต่ก็ยังดีในยุคปัจจุบันพระไตรปิฎกยังเป็นหลักฐานยืนยัน อ้างอิงได้   พระสงฆ์สาวกในครั้งนั้น ต้องอาศัยความจำเป็นหลัก  จึงต้องพยายามท่องจำกันให้ถูกต้อง ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในวัด  คุ้นเคยกับการท่องบ่นบ้างแล้ว     จะไม่สงสัยในข้อนี้เลย 

 

๒.๒  การกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ

                   พระมหากัสสปเถระเดินทางจากนครปาวามากุสินารา พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารของท่าน ๕๐๐ รูป พระภิกษุสงฆ์เป็นอันมากเกิดความสลดรันทดใจ ที่ได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า  ถึงกับร้องห่มร้องไห้โศกเศร้าเสียใจ แต่ก็มีอยู่รูปหนึ่งชื่อ สุภัททะ (ไม่ใช่สุภัททะ ที่มาขอบวชก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน) นัยว่าบวชเมื่อแก่แล้ว  พูดขึ้นว่า  พระพุทธเจ้านิพพานเสียก็ดีแล้ว   ต่อไปจะได้ไม่มีผู้บังคับกวดขันจุกจิก  พวกเรา พ้นจากมหาสมณะนั้นด้วยดีแล้ว  เพราะเมื่อก่อนท่านได้เบียดเบียนเรา    ด้วยการตักเตือนว่า   นี่ควร  นี่ไม่ควร  สำหรับพวกเธอทั้งหลาย บัดนี้พวกเราสบายแล้ว  พวกเราต้องการทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น  ไม่ต้องการทำสิ่งใดก็ไม่ทำสิ่งนั้น  คำพูดของพระสุภัททะ ถือว่าเป็นการกล่าวจ้วงจาบขาดความเคารพ  ต่อพระธรรมวินัย ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นพุทธสาวก เสมือนผู้แสดงตนเป็นขบถต่อพระศาสนา

                         เสถียร   โพธินันทะ  พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จะไม่ใช่มีพระสุภัททะเพียงรูปเดียวเท่านั้น คงจะมีปาปภิกษุอีกไม่ใช่น้อย ที่มีความคิดเห็นอย่างพระสุภัททะ ข้อความนี้เมื่อท่านไปสอบสวนกับเรื่องราวทางฝ่ายมหายานเข้าก็ได้พบความจริงว่า นอกจากพระสุภัททะแล้ว ยังมีอลัชชีภิกษุที่มีทิฎฐิดังนั้นมาก และนอกจากนี้ก็ปรากฏต่อมาว่า  มีพระต่างบ้านต่างเมือง อีกหลายหมู่หลายคณะต่างถือข้อปฏิบัติตามเจ้าหมู่เจ้าคณะของตน  ไม่ยอมเข้าหมู่กับฝ่ายสงฆ์   ที่มีพระมหากัสสปเถระเป็นประมุขอยู่  ในกลุ่มพระสุภัททะนี้    อาจจะเข้าไปอยู่ในกลุ่มพระปุราณะ   ที่ทำการคัดค้านสังคายนาครั้งที่หนึ่งก็เป็นได้                                      

 

 

 

 

                  

 

๒.๓  สังคายนาครั้งที่ ๑

              ๒.๓.๑ สาเหตุให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ ๑

                   พระมหากัสสปเถระปรารภเหตุ  ๓  ประการ ในการทำสังคายนาในครั้งนี้   คือ ๑)พระสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย  ๒) พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า  พระธรรมวินัยจักเป็นศาสดาแทนพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว  ๓) พระมหากัสสปเถระระลึกถึงคุณของพระศาสดาที่มีต่อท่าน

                   ความเป็นมามีอยู่ว่า   พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษาที่เมืองกุสินารา เมืองหลวงของแคว้นมัลละปรากฏว่า มีพระมหาสาวกที่สำคัญยังคงมีชีวิตอยู่หลายท่าน เช่น พระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธะ พระอุปวาณะ พระจุนทะ พระควัมปติ พระกุมารกัสสปะ พระอานนท์ พระมหากัจจายนะ  พระอุเทนะ เหล่านี้เป็นต้น ข่าวการปรินิพพานของพระพุทธองค์ได้แพร่สะพัดไปในที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว  พุทธบริษัททั้งสี่ที่ยังเป็นปุถุชน เมื่อได้สดับข่าวนี้แล้ว ต่างก็พากันเศร้าโศกเสียใจ  ร้องห่มร้องไห้   ส่วนพระอรหันต์ทั้งหลายก็อดกลั้นด้วยธรรมสังเวช

                   ขณะที่พระพุทธองค์ปรินิพพานนั้น  พระมหากัสสปเถระกำลังจาริกแสดงธรรมอยู่ที่เมืองปาวา  ซึ่งเป็นเมืองของแคว้นมัลละอีกเมืองหนึ่ง  ขณะนั้นท่านกำลังจะเดินทางไปเมืองกุสินารา  เมื่อมาถึงกลางทางเห็นอาชีวกคนหนึ่งถือดอกมณฑาทิพย์เดินสวนทางมา  ท่านเกิดความประหลาดใจ  ตามปกติแล้วดอกมณฑาทิพย์จะไม่ปรากฏให้เห็นเลย  เพราะเป็นดอกไม้สวรรค์  ท่านจึงได้ไต่ถาม อาชีวกคนนั้นจึงทราบว่า  พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  จึงรีบรุดไปเมืองกุสินาราทันที

                   ครั้นไปถึงแล้วก็ได้ฟังคำกล่าวอันไม่เป็นมงคลของสุภัททภิกษุ ที่กล่าวในท่ามกลางสังฆสภา พระมหากัสสปเถระเกิดธรรมสังเวช  และดำริว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานสิ้นกาลไม่นานนัก คือเพียง  ๗ วันเท่านั้น    ก็มีภิกษุอลัชชี     ไม่มียางอาย   หน้าด้าน  กล่าวจ้วงจาบ       (กล่าวตู่  กล่าวติเตียน) พระธรรมวินัยในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้    ต่อไปภายภาคหน้าจะมิยิ่งร้ายกว่านี้หรือ   เราจักเรียกประชุมสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย   เพื่อหาทางป้องกัน    และกำจัดเหล่าอลัชชีให้หมดไป  ชำระพระธรรมวินัยร้อยกรองให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อความดำรงมั่นของพระพุทธศาสนา 

                   เมื่อถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์เสร็จแล้ว   พระมหากัสสปเถระจึงเรียกประชุมสงฆ์     ยกวาทะของพระสุภัททะขึ้นกล่าวอ้างในท่ามกลางสงฆ์ ที่ประชุมได้ตกลงรับหลักการ ท่านจึงได้ชี้แจงให้ที่ประชุมสงฆ์ทราบว่าจะจัดทำสังคายนาเพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัยเข้าเป็นหมวดหมู่  และได้คัดเลือกเอาพระอรหันต์ ๔๙๙ องค์   เข้าร่วมประชุม  ส่วนอีกรูปหนึ่งคือพระอานนท์ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ ที่ประชุมเห็นว่าควรจะให้โอกาสแก่พระอานนท์ ภายหลังต่อมาจึงได้บรรลุพระอรหันต์ ซึ่งเป็นวันที่จะเริ่มต้นทำสังคายนา                  

                   พระมหากัสสปะเลือกเมืองราชคฤห์เป็นที่ทำสังคายนานั่นเอง  ทั้งๆ ที่เมืองราชคฤห์กับเมืองกุสินาราอยู่ไกลกันมากการเดินทางไปมาก็ลำบากจากเมืองกุสินารามาราชคฤห์  จะต้องผ่านเมืองปาวา  เมืองเวสาลี  เมืองปาฎลีบุตร  นาลันทา   แล้วจึงถึงเมืองราชคฤห์       การเลือกเมืองราชคฤห์เป็นสถานที่ทำสังคายนา  น่าจะมีเหตุผลหลายประการ คือ เมืองราชคฤห์นอกจากเป็นเมืองมีชัยภูมิที่เหมาะสม  การคมนาคม และหาปัจจัยสี่ได้โดยสะดวก  เพราะเป็นเมืองใหญ่แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า พร้อมที่จะให้การอุปถัมภ์การสังคายนา และที่สำคัญเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธนับเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

                   เมื่อตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้ว พระมหาเถระจึงได้ออกเดินทางจากเมืองกุสินารา ไปสู่เมืองราชคฤห์  ครั้นถึงไปถึงแล้วได้ถวายพระพร  แจ้งความประสงค์ให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบ  เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบแล้ว     ก็บังเกิดความปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง   และได้ตรัสถามพระมหาเถระทั้งหลายว่า  พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะทำสังคายนา    ณ    ที่ได ?     พระมหาเถระถวายพระพรตอบว่า  ที่ถ้ำสัตตปัณณคูหา  บนภูเขาเวภาระ  ซึ่งเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์  เงียบสงัด  ปราศจากคนพลุกพล่าน  เป็นสถานที่สวยงาม  ประหนึ่งเทวดาเนรมิตไว้

                   พระเจ้าอชาตศัตรู  ได้รับสั่งให้จัดสถานที่ด้านหน้าถ้ำสัตตปัณณคูหา และให้สร้างปะรำที่หน้าถ้ำ ครั้นแล้วได้รับสั่งให้ปูลาดต่อไป พระมหาเถระทั้งหลายได้ลงมือประชุมทำสังคายนากัน หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว  ๓ เดือน  ที่ประชุมได้ถวายหน้าที่ให้พระมหากัสสปเถระเป็นประธานและเป็นองค์ปุจฉา เพราะเป็นพระผู้มีพรรษามาก และเป็นที่เลื่อมใสของพระสงฆ์ทั้งหลาย  ให้พระอุบาลีเถระเป็นองค์วิสัชชนาพระวินัย เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ แตกฉานในพระวินัย ให้พระอานนท์ เป็นองค์วิสัชนาพระธรรมเพราะท่านเป็นพหูสูต  มีความรู้แตกฉานเชี่ยวชาญในพระธรรม ทำอยู่ ๗ เดือน มีพระอรหันต์ จำนวน  ๕๐๐ องค์  มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้อุปถัมภ์  การทำสังคายนาในครั้งนี้ เป็นเพียงจัดรวบรวมคำสอนของพระพุทธองค์ตลอด ๔๕ พรรษา เข้าเป็นหมวดหมู่ วรรค ตอน โดยความเรียบร้อย  เพื่อง่ายแก่การท่องจำและสวดกันเท่านั้น  ยังมิได้เขียนไว้

                   สมัยปัจจุบันนี้เรามีตำราที่พอจะค้นได้  แต่กระนั้นพระสงฆ์ของเรา  ยังท่องจำสวดมนต์เล่มโตๆ  ได้ตั้งแต่ต้นจนปลายโดยไม่ผิดเพี้ยนคำเดียว    ส่วนในครั้งกระโน้น  พระสงฆ์รู้อยู่ว่าถ้าปล่อยให้หลงลืมผิดเพี้ยนไปจะไปค้นคว้าตำราที่ไหน  สอบทานไม่ได้  จึงต้องพยายามจดจำให้ถูกต้องจริงๆ  ไม่ยอมให้คลาดเคลื่อนเลย  ขอให้สังเกตว่าคนที่ไม่รู้หนังสือ  ย่อมมีความจำดีนักหนา[2]  เช่น คนที่มั่งคั่งตามชนบทที่เขาไม่รู้หนังสือ    แต่เขาสามารถจดจำจำนวนเงินได้ทั้งหมด       แต่ผู้ที่รู้หนังสือมีบัญชีที่จะไปเปิดดูได้  ก็ไม่ค่อยเอาใจใส่หรือถือความจำเป็นของสำคัญ  การทำสังคายนาก่อนสมัยที่จะจารึกพระไตรปิฎกลงเป็นอักษรนั้น     ก็ทำกันอย่างรอบคอบระมัดระวัง วิธีสังคายนาปากเปล่า  นั้นคือพระสงฆ์ที่คงแก่การเรียนมาประชุมกัน   พร้อมกันเป็นอันมาก เลือกองค์ที่เก่งที่สุดในทางใด    ให้กล่าวพระพุทธวจนะในทางนั้น  บางทีก็สมมุติให้เป็นผู้ถามตั้งปัญหา  และองค์ที่ได้รับความนับถือว่าแม่นยำที่สุดนั้นเป็นผู้ตอบ  ถ้าคำตอบผิดพลาดไป  ผู้อื่นอาจคัดค้านได้  ข้อใดตกลงกันว่าเป็นอันถูกต้องดีแล้ว  พระสงฆ์ทั้งหมดที่ประชุมอยู่ที่นั้นก็สวดขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นเรื่องๆ ไป  เท่ากับเป็นการพิมพ์พระพุทธวจนะเหล่านั้น  ลงในสมองของพระสงฆ์คราวละ ๕๐๐–๗๐๐ หรือ  ๑,๐๐๐ องค์    จดจำไปบอกให้ผู้อื่นท่องบ่นกันต่อไป กลัวการสูญหายไป หรือสลายไป     ก็เพื่อคงอยู่และดำรงอยู่ของพระธรรมวินัย ดังนั้น  พุทธบริษัท ๔ ต้องเอาใจใส่หมั่นศึกษา ให้เข้าใจและนำมาปฏิบัติ          ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า   พระศาสนาจึงจะดำรงคงมั่นแน่นอน 

              ๒.๓.๒­   เหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับการสังคายนาครั้งที่ ๑

                                ๑)  การอภิปรายเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย          เสถียร โพธินันทะ กล่าวว่า  ในปฐมสังคายนาครั้งนั้น  พระอานนท์ได้กล่าวในที่ประชุมสงฆ์ถึงพระพุทธานุญาต  ข้อที่ให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้  ที่ประชุมได้ถามพระอานนท์ว่า  ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค ถึงสิกขาบทเล็กๆ น้อย  คืออะไร  พระอานนท์ตอบว่า มิได้ทูลถาม  เกิดปัญหาในที่ประชุม     เพราะในที่ประชุมมีความคิดเห็นต่างๆ นานา พระเถระบางพวก ก็ว่าเว้นปาราชิก  ๔  เสีย  ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย  บางพวกว่ายกเว้นปาราชิก สังฆาทิเสส  ๑๓  อนิยต ๒ เสีย  ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย บางก็ว่าเว้นปาราชิก  สังฆาทิเสส ๑๓  อนิยต ๒   และนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ เสีย  ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย   บ้างก็ว่าเติมปาจิตตีย์   ๙๒  เสีย  ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย  บ้างก็ว่าเติมปาฎิเทสนียะ ๔ ลงไปอีก    ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย

                   เมื่อมติที่ประชุมมีความเห็นแตกต่างกันอย่างนี้  พระมหากัสสปเถระจึงได้กล่าวตัดเสียว่า  ดูก่อนอาวุโส  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบททั้งหลายของพวกเรา  ที่บ่งถึงคฤหัสถ์ก็มีอยู่  แม้พวกคฤหัสถ์ก็ย่อมรู้ว่า  นี้ควรแก่ท่านทั้งหลายผู้เป็นสมณศากยบุตร   นี้ไม่ควรแก่ท่านทั้งหลาย ดังนี้  ถ้าพวกเราจักพร้อมกันถอนสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ  ไซร้   ก็จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมทรงบัญญัติสิกขาบท    เพื่อเหล่าสาวกชั่วกาลแห่งควันไฟ  พระศาสดาของสาวกเหล่านี้ ได้ดำรงอยู่แล้วเพียงใด สาวกเหล่านี้ก็ศึกษาแล้วในสิกขาบททั้งหลายเพียงนั้น  เพราะพระศาสดาของสาวกเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว  

                   บัดนี้เหล่าสาวกจึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ก็ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้  สงฆ์พึงไม่บัญญัติสิกขาบทที่ยังมิได้ทรงบัญญัติ  พึงไม่ตัดทอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ  แล้วพึงสมาทานประพฤติ     ในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้   นี้เป็นบัญญัติ  ฯลฯ  ท่านผู้ใดเห็นว่าสมควรท่านผู้นั้นพึงนิ่งเฉย       ท่านผู้ใดเห็นว่าไม่สมควร   ท่านผู้นั้นพึงพูดขึ้น 

                   เมื่อสิ้นกระแสประกาศของพระมหากัสสปเถระแล้ว ปรากฏว่าที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันด้วยดี  จึงเป็นอันถือว่านับตั้งแต่กาลบัดนั้นเป็นต้นไป  สงฆ์  (เฉพาะฝ่ายเห็นด้วยกับพระมหากัสสปเถระ)   จะไม่ถอนสิกขาบทแม้เล็กน้อยเลย คณะสงฆ์คณะนี้จึงได้ปรากฏนามสืบต่อมาว่า    คณะเถรวาท  หรือสถิรวาท  หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า วินัยวาที ก็เรียกได้ เพราะถือตามมติของพระเถรานุเถระอันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประมุข                             

                         ๒)  สงฆ์ปรับอาบัติพระอานนท์  พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) ได้กล่าวว่า ที่ประชุมสงฆ์ยังได้มีมติตำหนิ(ใช้คำว่า ตำหนิ ไม่ใช้คำว่าปรับอาบัติ) การกระทำของพระอานนท์  ๕  อย่าง  ว่าเป็นการกระทำไม่ดี  ซึ่งใช้คำบาลีว่า   ทุกกฎํ   ที่แปลกันว่า อาบัติทุกกฎ   แต่การกำหนดอาบัติเป็น  พุทธอาณา  คนอื่นไม่อาจจะที่จะบัญญัติอาบัติได้  ความหมายของคำนี้  จึงควรเป็นตำหนิว่า ทำไม่ดีเท่านั้น  ข้อที่สงฆ์ตำหนิพระอานนท์  ๕  ประการนั้น  คือ.

                   (๑)       ไม่กราบทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่รับสั่งนั้นคือสิกขาบทอะไร? พระอานนท์แก้ว่า   ที่ไม่กราบทูลถามเพราะท่านกำลังเศร้าโศก  เนื่องจากพระพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน  จึงระลึกไม่ได้

                   (๒)      เวลาพระอานนท์เย็บผ้าของพระพุทธเจ้า   ได้ใช้เท้าหนีบผ้าอีกด้านหนึ่ง   อันเป็นการขาดความเคารพต่อพระพุทธองค์  ข้อนี้พระอานนท์แก้ว่า  ที่ต้องทำเช่นนั้น   เพราะไม่มีใครช่วยจับเวลาเย็บผ้า  หาได้ทำด้วยขาดความคารวะไม่

                   (๓)      พระอานนท์ปล่อยให้สตรีถวายบังคมพระพุทธสรีระ พวกเธอร้องไห้กันจนน้ำตาถูกพระพุทธสรีระ ข้อนี้พระอานนท์แก้ว่า   ท่านเห็นว่าสตรีไม่ควรอยู่ข้างนอกในเวลากลางคืน  จึงได้จัดให้พวกเธอได้เข้าไปถวายบังคมพระพุทธสรีระก่อน   จะได้กลับสู่ที่อยู่อาศัยของตนในเวลาที่ยังไม่ค่ำมืด

                   (๔)  พระอานนท์ไม่กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป  ทั้งๆ  ที่พระองค์ทรงทำนิมิตโอภาสถึง  ๑๖  ครั้ง    พระอานนท์แก้ว่า  ที่ไม่กราบทูลอาราธนาเพราะไม่ทราบ  เนื่องจากท่านถูกมารดลใจ

                   (๕)  พระอานนท์ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา  พระอานนท์แก้ว่า  ท่านเห็นว่า  พระนางมหาปชาบดีโคตมีพระมาตุจฉา  ได้ประคับประคองเลี้ยงดูพระผู้มีพระภาคเจ้า  มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

                      การกระทำทั้งหมดนี้  ท่านไม่เห็นว่าเป็นความผิดอะไร แต่เมื่อสงฆ์เห็นว่าเป็นการกระทำไม่ดี ท่านยินดียอมรับและถ่ายถอนความผิดนั้น  การกระทำของพระสังคีติกาจารย์ นอกจากจะเป็นการเน้นให้เห็นว่า การทำบางอย่างถึงแม้ว่าตนจะทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อความรู้สึกส่วนใหญ่ท่านตำหนิ การจะดื้อรั้นถือดีไปเป็นการไร้ประโยชน์  การยอมรับนับถือมติส่วนใหญ่  ในบางกรณีเพื่อยุติปัญหาและสร้างแบบแผนที่ดีงามนั้น เป็นสิ่งที่ควรกระทำต่อมาการคัดค้านสังคายนาครั้งที่หนึ่งก็เกิดขึ้น  ในขณะที่พระมหากัสสปเถระได้ทำเสร็จสมบูรณ์ ในการรวบรวมพระธรรมวินัย  และสร้างความมั่นใจในหมู่พระเถระถึง  ๕๐๐  รูป   แต่ก็ยังมีพระภิกษุอีกกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย   คือกลุ่มพระปุราณะได้พาบริวารจำนวน  ๕๐๐  รูป  เดินทางมาจากทักขิณาคิรีชนบท  มาพักที่เวฬุวันวิหาร  ในกรุงราชคฤห์    ภิกษุทั้งหลายได้ทำสังคายนา  ได้บอกให้ท่านทราบว่า   ดูก่อนท่านปุราณะ  พระธรรมวินัย  อันภิกษุทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว  ขอท่านยอมรับด้วย  พระปุราณะกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัย กันเรียบร้อยก็ดีแล้ว  แต่ผมได้ฟังได้รับมา  เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร จะถือปฏิบัติตามนั้น”  เมื่อได้ชี้แจงกันพอสมควรแล้ว  ปรากฏว่าพระปุราณะมีความเห็นตรงกับพระสังคีติกาจารย์ส่วนมาก  แต่มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่อง  วัตถุ  ๘ ประการ  ซึ่งเป็นพระพุทธานุญาตพิเศษ  ที่ทรงอนุญาตให้  พระภิกษุทำได้ในควาวเกิดทุพพภิกขภัย แต่เมื่อภัยเหล่านั้นระงับก็ทรงบัญญัติห้ามมิให้กระทำอีก   เรื่องทั้ง  ๘  นั้น  คือ

                         (๑)    อันโตวุฎฐะ      เก็บของที่เป็นยาวกาลิก คืออาหารไว้ในที่อยู่ของตน

                         (๒)   อันโตปักกะ     ให้มีการหุงต้มอาหารในที่อยู่ของตน

                         (๓)    สามปักกะ        พระลงมือหุงต้มด้วยตนเอง

                         (๔)    อุคคหิตะ           การหยิบของเคี้ยวของฉันที่ยังไม่ได้ประเคน

                         (๕)    ตโตนิหตะ        ของที่นำมาจากที่นิมนต์ซึ่งเป็นพวกอาหาร

                         (๖)    ปุเรภัตตะ          การฉันของก่อนเวลาภัตตาหาร ในกรณีที่ตนรับนิมนต์ไว้ในที่อื่น  แต่ฉันอาหารอื่นก่อนอาหารที่ตนจะต้องฉันในที่นิมนต์

                         (๗)    วนัฎฐะ             ของที่เกิดและตกอยู่ในป่า  ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ

                         (๘)    โปกขรัฎฐะ      ของที่เกิดและอยู่ในสระ  เช่น  ดอกบัว  เหง้าบัว

                   วัตถุทั้ง  ๘  ประการนี้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเป็นพิเศษในคราวทุพภิกขภัย  ๒  คราว คือ   ที่เมืองเวสาลีและที่เมืองราชคฤห์  แต่เมื่อทุพภิกขภัยหายไปแล้ว   ทรงห้ามมิให้พระภิกษุกระทำ  พระปุราณะและพวกของท่าน  คงจะได้ทราบเฉพาะเวลาที่ทรงอนุญาต  จึงจำทรงไว้อย่างนั้น  เนื่องจากการอยู่กระจัดกระจายกัน  การติดต่อบอกกล่าวกันบางเรื่องทำไม่ได้ จะถือว่าท่านดื้อรั้นเกินไปถนัดเพราะท่านถือตามที่ท่านได้สดับมาจากพุทธสำนักเหมือนกัน    เมื่อฝ่ายพระสังคีติกาจารย์ชี้แจงให้ท่านฟัง  ท่านกลับมีความเห็นว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ  ไม่สมควรที่จะบัญญัติห้ามแล้วอนุญาต  อนุญาตแล้วกลับบัญญัติห้ามมิใช่หรือ”

                   พระมหากัสสปเถระกล่าวว่า “เพราะพระองค์ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณนั้นเอง จึงทรงรู้ว่ากาลใดควรห้าม     กาลใดควรอนุญาต”   ท่านยังได้กล่าวเน้นให้พระปุราณะทราบมติของที่ประชุมที่ได้ตกลงกันว่า “จักไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติขึ้น จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว จักสมาทานศึกษาสำเหนียก  ในสิกขาบททั้งหลาย  ตามที่ทรงบัญญัติไว้” พระปุราณะยืนยันว่า ท่านจักปฏิบัติตามมติของท่านที่ได้สดับฟังมา

                   หลักฐานฝ่ายมหายานบอกว่า พระปุราณะไม่ยอมรับเรื่องวัตถุ  ๘  ประการนี้ แล้วนำพวกของตนไปจัดการสังคายนาขึ้นอีกต่างหาก    ซึ่งแน่นอนว่า  วัตถุ  ๘  ประการนี้ซึ่งตามพระวินัยห้ามมิให้ทำ และ ปรับอาบัติปาจิตตีย์บ้าง ทุกกฎบ้างนั้น  ฝ่ายพระปุราณะถือว่ากระทำได้  เป็นอันว่า “ความแตกแยกในทางข้อปฏิบัติ คือความเสียแห่งสีลสามัญญตา ได้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา  หลังจากพุทธปรินิพพานผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ความไม่เสมอกันในด้านการปฏิบัติอย่างน้อยได้แตกแยกออกเป็น  ๒  ฝ่าย คือ (๑) ฝ่ายที่ยอมรับนับถือมติของพระสังคีติกาจารย์  ในคราวปฐมสังคายนา  (๒)ฝ่ายที่สนับสนุนคล้อยตามมติของพระปุราณะกับพวก อย่างน้อยฝ่ายนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่า  ๕๐๐  รูป  ซึ่งในที่สุดฝ่ายพระปุราณะต้องได้พวกเพิ่มขึ้น

                   เสถียร  โพธินันทะ  ได้ให้ข้อคิดในเรื่องนี้ว่า  ปฐมสังคายนา  เป็นการทำขึ้นโดยภิกษุหมู่หนึ่งเท่านั้น  ยังมีภิกษุอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าประชุม และในจำนวนภิกษุเหล่านี้คงมีบางหมู่ที่ไม่พอใจในการสังคายนาของฝ่ายพระมหากัสสปเถระและคงมีหลายหมู่โดยเฉพาะหมู่สงฆ์ฝ่ายพระปุราณะเอง  ซึ่งคงเป็นพระเถระสำคัญรูปหนึ่ง มิฉะนั้นเหตุไรพระมหากัสสปเถระจึงต้องมาเสียเวลาชุมนุมสงฆ์  ชี้แจงให้ฟัง และเหตุการณ์เช่นนี้ได้เป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนความเชื่อถือของพุทธศาสนิกฝ่ายมหายาน ว่าพวกมหายานได้ออกไปตั้งกองสังคายนาต่างหาก  จากคณะสงฆ์ฝ่ายพระมหากัสสปเถระ

                   สิกขาบท ๘ ข้อนั้น  เสถียร  โพธินันทะกล่าวว่า ข้ออ้างของฝ่ายพระปุราณะไม่มีเหตุผล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รอบคอบทรงปัญญาเฉียบแหลม  ไม่นิยมในวัตรปฏิบัติที่ตึงเครียด  ย่อมทรงผ่อนผันไปตามกาล อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า การที่ไม่มีนิยมให้เขียนพระธรรมคำสอนให้แพร่หลายในสมัยก่อนให้เป็นหลักฐาน  ใช้แต่การทรงจำถ่ายทอดกันมานั้น  บางทีก็อาจมีการคลาดเคลื่อนเช่นจำผิด หรือนึกไม่ออกเช่นพระปุราณะเป็นต้น  การสังคายนาจึงเป็นสอบทวนความทรงจำของสงฆ์ให้เข้ารูปเข้ารอยเป็นอันเดียวกันนั้นเอง

 



[1]พระอุดรคณาธิการ,  ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย,  (พระนคร: โรงพิมพ์กรมการศาสนา ๒๕๐๗)   หน้า ๑๙๐

[2] สิริวัฒน์  คำวันสา, พุทธศาสนาในอินเดีย,  (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๓), หน้า ๗๓-๗๔.

คำสำคัญ (Tags): #มหาจุฬาฯ
หมายเลขบันทึก: 441743เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2011 12:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 22:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท