ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์หลวงพี่ไพศาล..พระไพศาล วิสาโล เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เผยแพร่แนวคิดการให้ความช่วยเหลือคนไข้ระยะสุดท้ายวิถีพุทธที่บูรณาการกับศาสตร์ทางการแพทย์การพยาบาล ให้เปิดเผยต่อสาธารณะทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เป็นเรื่องความเป็นมาของโครงการเผชิญความตายอย่างสงบที่ทางเครือข่ายพุทธิกาได้จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ และได้รับความสนใจจากทั้งทางบุคลากรสุขภาพในโรงพยาบาล ประชาชนทั่วไป อาสาสมัครและสื่อต่างๆ ขอให้จัดการอบรมมากขึ้นทุกปี
การอบรมเผชิญความตายอย่างสงบครั้งแรก สวนสายน้ำ หาดใหญ่ พศ.๒๕๔๗
คำแปลบทสรุปคำสัมภาษณ์
เรื่องหนึ่งที่ทางเครือข่ายพุทธิกาให้ความสำคัญ คือ เรื่องความตายและภาวะใกล้ตาย ซึ่งมีความสำคัญในสังคมยุคใหม่ เพราะคนสมัยนี้มักมีทุกขเวทนามากเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในโรงพยาบาล
อาตมาและเครือข่ายฯจึงได้จัดการอบรมเพื่อเผยแพร่ความรู้พื้นฐานให้ผู้เข้าอบรมได้สามารถช่วยเหลือทางปัญญาแก่คนไข้ระยะสุดท้าย เราพบว่าคนทั่วไปก็สามารถทำเรื่องนี้ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องความตายและภาวะใกล้ตายอย่างถ่องแท้ หากจิตใจมีเมตตากรุณาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และมีเจตคติที่ดีต่อความตาย
ความจริงแล้วความตายหาใช่สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว ที่เราต้องพยายามหนีห่างแต่อย่างใด มันกลับมีคุณค่าและสามารถชี้นำเราไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ หากรู้จักใช้มันอย่างถูกวิธี
ดังนั้นในการอบรม เราจึงพยายามช่วยให้ผู้เข้าอบรมได้มีโอกาสสะท้อนความคิดมุมมองของตนเอง มีเจตคติที่ดีต่อความตาย และสามารถช่วยน้อมนำให้บุคคลอันเป็นที่รักสามารถยอมรับความตายที่กำลังจะมาถึงได้ นอกจากนั้นเรายังจัดให้มีการฝึกทักษะพื้นฐานเพื่อช่วยพูดคุยให้คนไข้ระยะสุดท้ายได้ระลึกถึงความหมายของชีวิต คุณงามความดีของตนเอง รู้จักปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ และเผชิญความตายอย่างสงบ
วีธีเดียวที่จะข่วยตระเตรียมตนเองให้เผชิญกับความตายอย่างสงบได้ คือ การใช้ชีวิตที่มีอยู่ในขณะนี้อย่างมีสติ อย่างสงบ หากคนเรามีเจตคติที่ดีต่อความตาย เขาเหล่านั้นจะรู้จักแบ่งปันความรัก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ทำร้ายผู้อื่น เพราะสิ่งนั้นจะส่งผลถึงวาระสุดท้ายของตนเอง
เรายังหวังด้วยว่า สิ่งนี้จะช่วยปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศไทย ซึ่งเคยมุ่งแต่จะทุ่มทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อยืดชีวิตคนไข้ออกไปอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตที่เหลืออยู่ ถ้าระบบสุขภาพให้ความสำคัญกับความตายอย่างสงบ การบริบาลเพื่อบรรเทาอาการ palliative care ก็จะมีความสำคัญ มีบทบาทและเป็นหลักมากขึ้น จะช่วยให้เป็นระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ (humanized health care) มากขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องกลไกของอวัยวะต่างๆเท่านั้น และจะช่วยให้คนเราสามารถใช้ชีวิตและเผชิญกับวาระสุดท้ายของตนเองได้อย่างสงบ
ปัจจุบันเครือข่ายพุทธิการ่วมกับเสมสิกขาลัยได้จัดอบรมเผชิญความตายอย่าสงบให้กับบุคลารกรสุขภาพและประชาชนทั่วไป ปีละไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้ง ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์
ดีมากๆ เลยค่ะ
สวัสดีค่ะคุณหมอ
เสียงไม่ค่อยได้ยิน ไม่ทราบจะปรับที่ไหนค่ะ
เมื่อพยายามเรียนรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับความตายมากขึ้น ทำให้มีกำลังใจในการทำดีอีกมากมายนะคะ
การอยู่ร่วมกันไม่ว่าการทำงานหรือการอยู่อย่างอื่น ควรมีหัวใจให้แก่กัน สังคมคงเป็นสุขนะคะ
อาจารย์หมอเต็มคะ เมื่อเช้าปูได้อ่านดู รายละเอียด จุใจ มีภาพอ.หมอแบบเต็มๆ เลยค่ะ ขอชื่นชมและส่งกำลังใจ อ่านแล้วรู้สึกดีๆ ขอบคุณค่ะ :)
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความเตือนสติค่ะ