๒๑ เมษายน ๒๕๕
Today I am messenger
วันนี้ที่ รพ.สต.มีฉีดวัคซีนเด็ก เราลุกมารดน้ำสวนแต่เช้า จัดการธุระส่วนตัวแล้วรีบลงมาที่ทำงานเผื่อจะมีงานให้ช่วยได้บ้าง โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม มีเด็กมัธยมที่เข้าร่วมโครงการทำงานพิเศษช่วงปิดภาคเรียนของอบต. ถูกส่งมาเรียนงานที่อนามัย ทำให้การฉีดวัคซีนที่ทำเจ้าหน้าที่หัวหมุน มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ เราเลยนั่งตรวจคนไข้ในห้องและออกแบบบอร์ดเพื่อใช้ประดับห้องแผนไทย
ช่วงบ่าย น้องอ้อย(จพ.สาธารสุข) น้องติ๊ก (จพ.ทัณตสาธารณสุข) ชวนเราไปส่งหนังสือตามวัดต่างๆ เพื่อแจ้งเรื่องการออกตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น มีคนไข้ที่เรานัดไว้ช่วงบ่ายสองคน ฝากงานไว้กับแม่สำรอง (ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย) แล้วเราก็ออกเดินทางกันสามคน
ด้วยรถจักรยานยนต์ Yamaha spark nano ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ!!!
วัดแรก...ที่พวกเราไปกัน คือวัดถ้ำผาเกิ้ง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอนามัยเรามากที่สุด ต้องผ่านทุ่งนาและเลาะตีนเขา ขึ้นไปถึงยอดเขา ผู้ที่เป็นสารถีคือน้องติ๊ก การแต่งตัวของพวกเราคือ เสื้อคลุม กางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อคอย่างดี (น้องติ๊กมีแมสปิดปาก กลัวคนจำได้ คริๆ ) ทว่า....ซ้อนสาม ....ห้าๆ ^_^
ทางไปถ้ำผาเกิ้งมีผู้ใจบุญทำถนนลาดยางไปประมาณ ๑ กิโลเมตร จากนั้นก็เป็นลูกรังปกติ ขณะน้องติ๊กขับ ๔๐ กิโลเมตร ด้วยถนนที่มันเป็นคลื่นน้ำทำให้เรากับน้องอ้อยกระโดดจากเบาะไปสองสามครั้ง อ้อยใจเริ่มเกาะเราแน่นขึ้น เราก็ริ่มเกาะน้องติ๊ก หวาดเสียวกันไปตลอดทาง ซักพักน้องติ๊กว่ากลัวยางรถรั่ว เราก็พลันรู้สึกว่ารถมันส่าย เพราะถนนมันเป็นทราย แต่รถเราก็ยังใช้การได้ดี
ด้วยความชำนาญการขับรถเครื่องของน้องติ๊ก ทำให้เราไปถึงวัดกันอย่างปลอดภัย
ทีนี้ก็มาถึงวิธีส่งหนังสือ ด้วยความที่เราอาวุโสสุด และผ่านการเข้าวัดมาบ้าง น้องๆจึงลงความเห็นให้เราเป็นด่านหน้า!!!! ไปสนทนากับพระ เรายังไม่เคยพูดกับพระโดยปราศจากผู้ใหญ่มาก่อนเลย ครั้งนี้คงเป็นโอกาสฝึกตน เลยเต็มใจรับหน้าที่เป็นอย่างดี
เจอหลวงพ่อนั่งอยู่เพิงหญ้า เดินเข้าไปกราบแล้วชี้แจงวัตถุประสงค์ในการมาส่งหนังสือ ระหว่างพูดก็พนมมือไปด้วย เป็นขัดๆเขินๆบ้าง แต่การสนทนาก็เป็นไปด้วยดี จากนั้นก็ลากลับ แอบถอนหายใจโล่งอกที่วัดแรกผ่านไปด้วยดี
กลับจากวัดถ้ำผาเกิ้ง เราก็กลับเข้าหมู่บ้าน ตรงไปที่วัดป่าคีรีเวียง ทางเข้าวัดนี้ทำเอาเราสามคนขนลุกกันเกรียว เพราะทางเข้าเป็นป่าและถนนลูกรัง พอไปถึงวัด ปรากฏเป็นวัดที่อยู่กลางป่า ต้นไม้รายรอบ กุฏิ ศาลา เก่าแก่มาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเงียบและความวังเวง ไม่มีพระอยู่ที่วัด
เราเดินตระเวณดูเล็กน้อย รู้สึกว่าหากสถานที่แห่งนี้เป็นที่ภาวนาสำหรับอุบาสกอุบาสิกาต้องเป็นที่เหมาะมากเป็นแน่ เพราะให้ความรู้สึกสงบดีอย่างประหลาด
ออกจากวัดป่า เราไปต่อกันที่วัดสระแก้ว ไม่มีพระอยู่อีกเช่นเคย ผ่านวัดสีชมพู ชาวบ้านกำลังทำพิธีเผาศพเราเลยข้ามไปก่อน อ้อมไปที่วัดสระยาวซึ่งอยู่ที่บ้านโพธิ์ ห่างจากตัวหมู่บ้านอื่นๆประมาณสองกิโลเมตร
ก่อนถึงบ้านโพธิ์ จะผ่านสำนักสงฆ์หนองเตาปูน ที่มีวงเล็บต่อท้ายว่า ป่าช้า..... ^_^ น้องติ๊ก บอกว่าเอาไว้เป็นวัดสุดท้ายดีกว่าครับ เราเลยต้องไปที่วัดสระยาวกันก่อน แล้ววกกลับมาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้
พอขับรถเข้าไป รถเราเสียหลักแฉลบลงเกือบโหม่งพื้น ด้วยทางเข้าเป็นทรายที่หนามาก เราทั้งสามคนทั้งขำทั้งกลัวเพราะฤกษ์ไม่ดีกันตั้งแต่เลี้ยวเข้าไป น้องติ๊กเห็นมีคนนั่งอยู่ในวัดค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง
เมื่อเข้าไปภายใน สำนักสงฆ์แห่งนี้กลับดูไม่น่ากลัวเลยในความรู้สึกของเรา มีเมรุอยู่ไม่ห่างจากศาลาและหอระฆังไม่มากนัก หลวงพ่อเดินนำเราไปที่หน้ากุฏิ เราชี้แจงวัตถุประสงค์กับหลวงพ่อแล้วส่งหนังสือให้ ท่านบอกกว่าติดกิจนิมนต์ไปกรุงเทพ ฯ วันพรุ่งนี้ เรากับน้องอ้อยจึงแจ้งท่านว่าจะออกมาตรวจสุขภาพให้วันจันทร์ซึ่งท่านไม่มีกิจธุระที่ใด
ภาระกิจการส่งหนังสือกำลังจะเสร็จสิ้นลงในวัดสุดท้าย....
วัดที่ว่าคือวัดยมนาราม ซึ่งอยู่ห่าง รพ.สต.ไม่กี่ร้อยเมตร เมื่อเข้าไปที่นั่นเราก็แปลกใจที่เห็นเณรเตอร์ ซึ่งปกติมาเล่นอนามัยเป็นประจำ กำลังเดินเล่นอยู่ในวัด เลยได้ขอความช่วยเหลือจากเณรให้ช่วยหากฏิเจ้าอาวาส ปรากฏท่านเจ้าอาวาสวัดกำลังนั่งสนทนาธรรมกันอยู่อีกกุฏิที่ห่างออกไป
หันไปขอบคุณเณรเตอร์ แล้วตรงไปส่งหนังสือ ที่วัดนี้ท่านนั่งกันอยู่หลายองค์ เราเลยเป็นประหม่าขึ้นมา แต่ก็ตั้งสติและชี้แจงท่านถึงหนังสือที่เอามาส่ง ท่านถามรายละเอียดเรื่องเวลาเราจำไม่ได้เลยแจ้งท่านว่ามีในหนังสือแล้วเจ้าค่ะท่านรับหนังสือไปดูเป็นโอกาสให้เรากราบลาได้
/ เอ่อ... ขอกราบลาเจ้าค่ะ /
/เจริญพร/
เฮ่อ....โล่งอก งานเสร็จแล้ว
เดินออกมาจากกุฏิ น้องอ้อยกระซิบ
/อ้อยพูดไม่เป็นนะพี่นีพูดกับพระกับเจ้านี่ไม่รู้จะใช้คำศัพท์อะไรยังไง /
เราก็ยิ้มๆกับน้องแล้วบอกไปว่าพี่เองก็ไม่ถนัดเลย แต่ก็รู้ว่าจะต้องพูดประมาณใหน ดีที่เราเคยไปวัดมาบ้างอาศัยจดจำวิธีการพูดจากพี่สาวที่เคารพ เลยทำให้ภาระกิจวันนี้ผ่านไปด้วยดีไม่ค้างคาใจ
เริ่มจะเชื่อแล้วค่ะ ว่าณ.ช่วงเวลาหนึ่งที่เราได้เข้าไปเรียนรู้เรื่องราวบางอย่าง โดยที่เราก็ไม่รู้หรอกว่าเรียนไปทำไม......แต่เมื่อถึงเวลา....สิ่งที่เรียนมาทั้งหมดจะถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ต่อไป จะน้อมรัับทุกสิ่งด้วยสติค่ะ ^_^
การผจรภัยของการเป็นผู้ส่งสาร อิอิ