ดิฉันนั่งคิดทบทวนชีวิตในช่วงระยะเวลาหลายๆ เดือนที่ผ่านมานี้ รู้สึกว่าชีวิตมี KM แทรกซึมเข้ามาเกือบจะทุกด้านไม่ว่าจะเป็นทั้งการทำงานจากที่เริ่มต้นที่ดิฉันได้รู้จักกับ KM ก็มั่นใจว่า KM มีประโยชน์กับผู้ที่รู้จักนำไปประยุกต์ใช้ และก็ทำหน้าที่เป็นเพียงคนที่คอยสนับสนุน ส่งเสริมให้คนในมหาวิทยาลัยได้รู้จักกับ KM เพราะเชื่อว่าใครที่ได้ทำความรู้จักกับ KM อย่างครบถ้วน ขอนิยามคำว่าครบถ้วนในความคิดของดิฉัน คือ เข้าร่วมกิจกรรมที่มีกระบวนการของ KM อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเปิดใจและใคร่อยากรู้ซึ่งในทุกครั้งที่ QAU จัดโครงการ KM จะมีการแนะนำเอกสารที่ผู้เข้าร่วมควรอ่านมาล่วงหน้าโดยเอกสารบางตัวเราก็จะได้สำเนาส่งไปพร้อมให้กับหนังสือเชิญและบางตัวเราก็จะแนะนำให้ไปอ่านใน blog บ้างซึ่งจะเป็นการดีถ้าผู้เข้าร่วมมีพื้นฐานมาบ้างเพื่อให้การดำเนินกระบวนการมีความราบรื่นและไปได้พร้อมๆ กันมากขึ้น หลังจากจบโครงการหากรู้สึกว่าตัวเองยัง งง งง (ซึ่งเป็นเรื่องปกติค่ะ) หรืออยากได้ความแม่นมากขึ้นก็ควรหาตำราอ่านเพิ่มเติม ซึ่งหากจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้เข้าร่วมนำ KM ไปปรับใช้กับงานและกิจกรรมในหน่วยงานของตนเอง ขั้นตอนที่ดิฉันกล่าวมาข้างต้นดิฉันเชื่อว่าทุกท่านน่าจะเห็นด้วยว่า KM ไม่เหมือนใครทำไม่ยากแต่มีประโยชน์กับตัวเอง มหาวิทยาลัย และสังคมไทยมากเพียงใดขอเข้าเรื่องตามหัวข้อบันทึกต่อนะคะ ช่วงที่ผ่านมาดิฉันเองทำหน้าที่ตามที่ได้กล่าวไว้ในย่อหน้าแรกโดยที่ลืมนึกถึงว่าตัวเองได้อะไรบ้างจากการเข้ามาเกี่ยวข้องกับ KM ซึ่งพอมารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าดิฉันกับ KM กำลังผูกพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกโดยไม่ทันรู้ตัวซัก 2 ข้อที่เกิดในระยะเวลาไม่กี่วันมานี้