บทเรียนสำเร็จรูป
ส่วนประกอบของบทเรียนสำเร็จรูป
ส่วนประกอบของบทเรียนสำเร็จรูป ประกอบด้วย
1.
คำชี้แจง/คำแนะนำในการศึกษาด้วยบทเรียนฉบับนั้น
2.
แนวคิด
3.
วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดจากการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูป
4.
เนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยาก
5.
แบบฝึกหัด/คำถาม เพื่อทบทวนความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้ศึกษา
พร้อมเฉลย
6.
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
7.
เฉลยแบบทดสอบ
กระบวนการผลิตและพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป
ขั้นตอนการผลิตและพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปมี
4 ขั้นตอน
1.
ขั้นวางแผน (Planning)
2.
ขั้นการผลิต (Production)
3.
ขั้นการทดลองต้นฉบับ (Prototype testing)
4.
ขั้นทดลองใช้จริง
ขั้นวางแผน
(Planning)
-
ศึกษาหลักสูตร
เพื่อให้ทราบถึงเนื้อหาสาระที่จะนำมาจัดทำเป็นบทเรียนสำเร็จรูป
-
กำหนดเนื้อหาสาระที่จะนำมาจัดทำบทเรียน
-
กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น
-
จุดประสงค์นำทาง จุดประสงค์ปลายทาง
-
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังว่า
เมื่อผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้จบแล้ว
ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรบ้าง
-
วิเคราะห์ความยาก-ง่ายของเนื้อหา
-
เตรียมสร้างแบบทดสอบทั้งก่อนและหลังเรียนในแต่ละกรอบสาระการเรียนรู้ให้ครอบคลุม
-
ความรู้ (Knowledge)
-
ทักษะ/กระบวนการ (Skills Practice/Process)
-
เจตคติ (Attitude)
ขั้นการผลิต (Production)
1)
เขียนบทเรียนสำเร็จรูปประกอบด้วย
-
จุดประสงค์ของบทเรียนสำเร็จรูป
-
ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน
-
กิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละกรอบสาระการเรียนรู้หลักและกรอบสาระการเรียนรู้สาขา
-
นำไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามที่วางแผนไว้
-
การวัดผลประเมินผล
2)
สร้างแผนการเรียนรู้
-
ศึกษาวิธีการสร้างแผนการเรียนรู้
-
ศึกษาบทเรียนสำเร็จรูป
-
เขียนแผนการเรียนรู้ตามเนื้อหา โดยพิจารณาความสอดคล้องกับจุดประสงค์
เนื้อหาและเวลาที่ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้
-
นำแผนการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพ
-
ปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
ขั้นการทดลองต้นฉบับ (Prototype
testing)
นำบทเรียนสำเร็จรูปต้นฉบับไปทดลองกับกลุ่มทดลองที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง
ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นหนึ่งต่อหนึ่ง
นำบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองกับกลุ่มทดลองที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องนั้นมาก่อน
เพื่อดูความถูกต้องของเนื้อหา ขั้นตอนต่าง ๆ ในการเรียนรู้
ความเหมาะสมของเวลาที่ใช้ จากนั้นจึงนำผลและข้อบทพร่องที่พบ
มาปรับปรุงแก้ไข เพื่อใช้ในการทดลองขั้นกลุ่มเล็กต่อไป
ขั้นกลุ่มเล็ก
นำบทเรียนสำเร็จรูปที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขในขั้นหนึ่งต่อหนึ่งไปทดลองกับกลุ่มทดลองที่กำลังเรียนเนื้อหาวิชานั้น
เพื่อตรวจสอบความบกพร่องของบทเรียน
และเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือไม่
เมื่อทดลองแล้วพบว่าประสิทธิภาพยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
จะต้องปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาของบทเรียนสำเร็จรูป
และปรับปรุงกิจกรรมต่าง ๆ
รวมทั้งแบบทดสอบให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
ขั้นกลุ่มใหญ่
นำบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองกับกลุ่มทดลองที่กำลังเรียนเนื้อหาวิชานั้น
และเป็นกลุ่มทดลองที่มีลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างจริง
ๆ ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือไม่
เมื่อทดลองแล้วพบว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ก็ดำเนินการจัดทำต้นฉบับเพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป
ขั้นทดลองใช้จริง
การทดลองใช้จริง เพื่อหาประสิทธิภาพบทเรียนสำเร็จรูป
มีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
1.
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยบทเรียนสำเร็จรูป
1.1 ให้ผู้เรียน ศึกษา
และทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนในการเรียนอย่างละเอียด
โดยอ่านจากคำชี้แจง/คำแนะนำในการศึกษาด้วยบทเรียนสำเร็จรูป
1.2 ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)
ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรียนและให้คะแนน
1.3
ผู้เรียนทำกิจกรรมการเรียนที่ระบุไว้ในบทเรียนสำเร็จรูปครบถ้วนแล้ว
ให้ทำแบบฝึกหัดและตรวจตำตอบจากคำเฉลยที่ให้ไว้
ทำเช่นนี้ทุกหน่วยการเรียนรู้จนครบ
1.4
ครูตรวจสอบการตอบคำถามในแต่ละกรอบและการทำแบบฝึกหัดของผู้เรียนทุกหน่วยการเรียนรู้
1.5 หลังจากผู้เรียนทำกิจกรรมการเรียนรู้
ในบทเรียนสำเร็จรูปจบแล้วให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
(Post-test)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป
2.1 แบบฝึกหัด
2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3. การหาคุณภาพของเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
เครื่องมือที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ เช่น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
จะต้องให้ได้ข้อมูลตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการทราบ ครอบคลุมเนื้อหา
สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและไม่ง่ายหรือยากจนเกินไป
อาจจะตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญหรือโดยการวิเคราะห์ ดังนี้
3.1
หาความตรงเนื้อหา
เป็นการหาว่าแบบวัดจะวัดได้ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการวัดหรือไม่โดยอาศัยการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญหลาย
ๆ คน ซึ่งเหมาะกับเครื่องมือแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และแบบทดสอบ
3.2
หาความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา
กำหนดคะแนนของผู้เชี่ยวชาญอาจจะเป็น +1 หรือ 0 หรือ -1
ดังนี้
+1 =
แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้จริง
0 =
ไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้จริง
-1 =
แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่ได้วัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้จริง
ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป
ในกรณีที่กำหนดการให้คะแนนของผู้เชี่ยวชาญเป็น 5 หรือ 4 หรือ 3 หรือ 2
หรือ 1 ดังนี้
5 =
ข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้มากที่สุด
4 =
ข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้มาก
3 =
ข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้บ้าง
2 =
ข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้น้อย
1 =
ข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้น้อยที่สุด
ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 3.50
ขึ้นไป
ตัวอย่างการหาค่า
IOC แบบทดสอบ
นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์จำนวน 20 ข้อ
ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกับจุดประสงค์
โดยกำหนดคะแนนเป็น +1 หรือ 0 หรือ -1 ได้ผล ดังนี้
ข้อที่
|
ผู้เชี่ยวชาญ (R)
|
ผลรวมของคะแนน
|
IOC
|
หมายเหตุ
|
คนที่ 1
|
คนที่ 2
|
คนที่ 3
|
12
3
4
5
20
|
+10
+1
-1
+1
+1
|
+1+1
+1
+1
+1
0
|
0-1
+1
+1
0
+1
|
20
3
1
2
2
|
0.670.00
1.00
0.33
0.67
0.67
|
ใช้ได้
ปรับปรุง
ใช้ได้
ปรับปรุง
ใช้ได้
|
จากตารางจะเห็นว่า ข้อที่ 2 และข้อที่ 4 มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50
ดังนั้นจะต้องปรับปรุง
3.3
การหาค่าความยากง่าย
การวิเคราะห์ความยากง่าย
เป็นการวิเคราะห์รายข้อ
เกณฑ์ความยากง่ายที่ยอมรับได้มีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.80 ถ้าค่า P
มีค่านอกเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องปรับปรุงข้อสอบข้อนั้น
หรือตัดทิ้งไป
3.4
การหาค่าอำนาจจำแนก
การวิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก
เป็นการดูความเหมาะสมของรายข้อว่าข้อคำถามสามารถจำแนกกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อนได้จริงหรือจำแนกผู้ที่มีคุณลักษณะสูงจากผู้มีคุณลักษณะต่ำได้
เกณฑ์อำนาจจำแนกที่ยอมรับได้มีค่าอยู่ระหว่าง
0.20 ขึ้นไป ถ้าค่าอำนาจจำแนกต่ำกว่า 0.20
จะต้องปรับปรุงแบบทดสอบข้อนั้นหรือตัดทิ้งไป
3.5 การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือวัด
1)
การหาความเชื่อมั่นแบบคูเดอร์-ริชาร์ดสัน
เป็นการหาค่าความเชื่อมั่น
ซึ่งใช้ได้ดีกับเครื่องมือที่วัดหรือข้อสอบที่ให้คะแนนแต่ละข้อคำถามตรวจให้คะแนน
1 หรือ 0 (ถูกได้ 1 ผิดได้ 0) ใช้สูตรการคำนวณของ Kuder – Richardson
– 21 (KR-21)
เกณฑ์ความเชื่อมั่นที่ยอมรับได้จะมีค่าตั้งแต่ 0.75 ขึ้นไป
2)
การหาความเชื่อมั่นแบบครอนบัด (Cronbach)
เป็นการหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือวัดจากการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา
(a – Coefficient)
ซึ่งใช้ได้ดีกับเครื่องมือวัดที่แต่ละข้อคำถามไม่ได้ตรวจให้คะแนน 1
หรือ 0 แต่เป็นการตรวจให้คะแนนในลักษณะอื่น ๆ เช่น
การทำข้อสอบอัตนัยที่ตอบแล้วได้คะแนนแต่ละข้อไม่เท่ากัน
การทำแบบสอบถามที่ตอบแล้วได้คะแนนแต่ละข้อเป็น 5, 4, 3, 2, 1 เป็นต้น
สูตรที่ใช้คือ
4.
การหาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป
4.1
หาเกณฑ์ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปโดยการวิเคราะห์คะแนนใช้สูตรคำนวณ
ดังนี้
การกำหนดเกณฑ์ที่ยอมรับว่าสื่อหรือนวัตกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพคือด้านความรู้
ความจำ E1/E2 มีค่า 80/80 ขึ้นไป ด้านทักษะปฏิบัติ
E1/E2 มีค่า 70/70 ขึ้นไป โดยที่ค่า E1/E2
ต้องไม่แตกต่างกันเกินกว่าร้อยละ 5
4.2
หาค่าดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนสำเร็จรูป
โดยการวิเคราะห์คะแนนใช้สูตรคำนวณ ดังนี้
สำหรับเกณฑ์ที่ยอมรับได้ว่าสื่อหรือนวัตกรรมมีประสิทธิผลช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์การเรียนรู้ได้จริง
คือ มีค่าตั้งแต่ .50 ขึ้นไป
5.
ทดสอบความแตกต่างของผลการสอบก่อนและหลังเรียน
โดยการหาค่าที่ (T –
dependant)
เอกสารอ้างอิง
กรมวิชาการ.(2545).การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน.กรุงเทพฯ.โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
ตัวอย่างบทเรียนสำเร็จรูป+แผนการจัดการเรียนรู้
บทเรียนสำเร็จรูป
แผนสุขศึกษาและพลศึกษา.doc
แผนทักษะการอ่าน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย.doc
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ภาษาไทย
มาตราตัวสะกด.doc
ชุดพัฒนากระบวนการวิเคราะห์การอ่านข้อความ
ภาษาอังกฤษ
แบบฝึกทักษะกระบวนการบวก
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง
โปรตีน
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง เซต
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง
ความชื้นของอากาศ
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง
ของแข็ง
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง
ไฟฟ้าน่ารู้