วันสุดท้ายของเฟซบุ๊ก


ข่าวลือเรื่องการปิดกิจการของเฟซบุ๊กนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่ห่างหายไปจากบ้านเราครับ ผมยังได้ยินคนพูดกัน บ้างด้วยความเป็นห่วง บ้างด้วยความกังวล และแล้ววันสุดท้ายของเฟซบุ๊กก็มาถึง!

ข่าวนี้ กับข่าวนี้ เป็นข่าวลือว่าเฟซบุ๊กจะปิดไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วนนี่คือ ข่าว จาก CNN

facebook

เห็นข่าวลือจาก weeklyworldnews.com ก็เลยได้โอกาสเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่

---------------------------------------------------------------

ข่าวลือ

คุณจะโกรธไหมครับถ้ามีคนมาเล่าเรื่องโกหกสารพัดให้คุณฟัง คอยหลอกลวงคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อไหมครับว่ากิจกรรมการโกหกซึ่งๆ หน้าประเภทแต่งตัวดีๆ มาโกหกกันทางทีวีนั้นให้เห็นกันทุกวัน ผมไม่ได้พูดถึงนักการเมืองที่กุเรื่องสารพัดกันในสภาฯ แบบที่เราคุ้นเคยกันนะครับ แต่กำลังจะพูดถึงธุรกิจบันเทิงเกี่ยวกับเรื่องโกหกหน้าตายที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันในอเมริกา

ธุรกิจที่ผมพูดถึงเขาเรียกว่า News Satire หรือข่าวที่หลอกลวงเสียดสีแบบหน้าเป็น รายการข่าวเปื้อนสาระปนบันเทิงประเภทสรุปข่าวภาคดึก เช่น The Daily Show with Jon Stewart หรือ The Colbert Report สองรายการนี้ออกอากาศทาง Comedy Central สถานีทีวีที่ออกจะเอียงไปทางหัวก้าวหน้า ประมาณว่าเป็นคู่ปรับของ Fox News

ในขณะที่การรายงานข่าวตามสถานีทั่วไปนั้นเน้นความเที่ยงตรงและรวดเร็วของข้อมูล รายการข่าวเสียดสีมุ่งรายงานข่าวทีเล่นทีจริงและอ้างอิงวัฒนธรรมสมัยนิยมเป็นหลัก ตัวอย่างกรณีนโยบาย Don’t Ask Don’t Tell หรือนโยบายกีดกันกลุ่มรักร่วมเพศในกองทัพที่ประธานาธิบดีโอบามาเคยให้สัญญาว่าจะยกเลิก แต่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาข้อเสนอนี้ถูกเขี่ยลงถังไปโดยตัวแทนรัฐบาลหลายคนออกมาอ้างว่าประเทศกำลังเผชิญวิกฤติต่างๆ มากมาย จะมาตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้ตอนนี้คงลำบาก แถมยังอ้างข้ออ้างเดิมๆ ว่าเกย์แบบโจ่งครึ่งนั้นบั่นทอนระเบียบวินัยในกองทัพ สรุปว่ารัฐบาลก็ยังจะรับเกย์เข้าร่วมกองทัพตราบที่ยังปิดบังฐานะทางเพศของตนต่อไป ข่าวดังอย่างนี้ช่องข่าวทั่วไปก็จะรายงานและบอกว่าวุฒิสมาชิกคนให้เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายนี้ อาจมีความเห็นเพิ่มเติมจากผู้อ่านข่าวพอเป็นพิธี ถ้าเป็น Fox News ก็อาจจะออกมาเหน็บพรรคเดโมแครตบ้างเล็กน้อย แต่สำนักข่าวเสียดสีเล่นหนักกว่านั้นเยอะครับ จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกตัวแทนรัฐแอริโซนา เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะสนับสนุนการยกเลิกนโยบายนี้เมื่อหลายปีก่อน แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับคำพูดอ้างโน่นนี่ สำนักข่าวเสียดสีอย่าง The Colbert Report ก็ไปขุดเอาเทปการให้สัมภาษณ์ในอดีตที่แมคเคนเคยสัญญาว่าจะสนับสนุนการยกเลิกนโยบายนี้มาแฉ ส่วน The Daily Show ของคุณ Jon Stewart เล่นเลยเถิดไปถึงขนาดเชิญผู้สันทัดกรณี (ตัวปลอม) มาเปรียบเทียบว่าคนแก่นั้นเป็นอันตรายต่อการทำงานของวุฒิสภา (ไม่ต่างจากเกย์เป็นอันตรายต่อภารกิจในกองทัพ) และยกตัวอย่างว่าการกลับคำพูดของแมคเคนนั้น ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนทางนโยบายอะไรแต่เป็นเพียงเพราะคนแก่นั้นหลงลืมง่าย นอกจากนี้ยังเสนอนโยบายให้คนแก่ออกมาปกปิดความแก่ของตัวเอง เพื่อจะได้รับใช้ประเทศได้ต่อไป (เหมือนที่บังคับให้เกย์ออกมาปกปิดสถานะรักร่วมเพศของตน)

นอกจากสำนักข่าวทางทีวีอย่างสองรายการที่ว่ามาข้างต้นยังมีสำนักข่าวออนไลน์อย่าง Onion News (theonion.com) ที่มีจุดเด่นคือไม่ต้องอ้างอิงข่าวเหตุการณ์ปัจจุบันเพราะสร้างข่าวยกเมฆเอาเองทั้งรายการ สำนักข่าวหัวหอมถนัดเล่นมุขแดกดันเสียดสี ลองดูมุมการเมืองก็จะมีข่าวประมาณอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยูบุช เดินทางเยี่ยมเยียนชาวบ้านหลังประสบภัยพิบัติในยุคที่ตนดำรงตำแหน่ง หรือข่าวประธานาธิบดีโอบามาหวังใช้อัลบัมใหม่ของบรูซ สปริงส์ทีนเป็นดรรชนีชี้แนะทิศทางเศรษฐกิจ ด้านข่าวต่างประเทศก็เสนอสกู๊ปพิเศษจากสาธารณรัฐคองโกที่เริ่มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกอาวุธสงครามเพื่อให้ประชาชนใช้ต่อสู้กับกลุ่มกบฎและประกอบอาชีพในอนาคต แม้จะเป็นสำนักข่าวออนไลน์แต่สำนักข่าวหัวหอมก็เอาตั้งหน้าตั้งตาจัดรายการเหมือนการรายงานข่าวของจริง มีนักข่าวประจำมากมาย ผลิตวิดีโอข่าวที่มีอินโทรกราฟฟิก ผู้ดำเนินรายการจากห้องข่าวต่างๆ มารายงานข่าวกันอย่างแข็งขัน แถมมีการสัมภาษณ์ชาวบ้านอีกต่างหาก

ถ้าจะถามว่าทำไมข่าวที่ดูไร้สาระแบบนี้ถึงได้เป็นที่นิยมในอเมริกาและหลายประเทศในยุโรปผมเองก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือผลการสำรวจจากสถาบันวิจัยด้านการเลือกตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐเพนซิลเวเนียพบว่าผู้บริโภคข่าวเสียดสีหลอกลวงรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผู้สมัครชิงตำแหน่งมากกว่าผู้บริโภคข่าวทั่วไป ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคเหล่านี้มีความรู้มากกว่าเป็นเพราะพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลที่หลากหลายกว่าหรือเป็นเพราะรายการข่าวเสียดสีหลอกลวงประเภทนี้เปิดมุมมองที่กว้างและลึกกว่าข่าวทั่วไปที่เสนอแต่ข้อมูลโดย (อ้างว่า) ปราศจากความคิดเห็น สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับสำนักข่าวเสียดสีเหล่านี้คือการนำมุมมองที่แตกต่างมาตีแผ่ เอาข่าวดีมาเปรียบเทียบกับข่าวห่วย จับผิดนักการเมืองโกหก แม้หลายๆ ครั้งจะเป็นการชักจูงผู้ชม แต่พูดตรงๆ สำนักข่าวในอเมริกาก็แบ่งข้างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าสนับสนุนฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา

บ้านเราแม้จะไม่มีช่องข่าวสนับสนุนกลุ่มซ้ายขวาชัดเจนอย่างในอเมริกา แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าแบ่งแยกเป็นสีโน้นสีนี้และก็มีรายการคุยข่าวที่ออกมาตอบรับผู้ชมที่ต่างสีต่างความคิด บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีเสียอีกถ้าทุกครั้งที่เราดูข่าวแล้วคอยถามตัวเองว่าที่กำลังรับชมรับฟังอยู่นั้นเป็นข่าวแท้หรือข่าวเทียม ว่าไหมครับ?

---------------------------------------------------------------

[พิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร แฮพเพนนิ่ง]

อ่านจบแล้ว ใครยังอยากเลิกเล่นเฟซบุ๊ก ก็ขอเชิญเยี่ยมชมที่ www.seppukoo.com เว็บไซต์พูดคุยเกี่ยวกับการฆ่าตัวตนในเฟซบุ๊กของคุณครับ ถึงแม้เว็บไซต์จะเลิกให้บริการฆ่าตัวตายจากเฟซบุ๊กไปแล้ว (เพราะหลักการขัดกับข้อตกลงของเฟซบุ๊ก) แต่ลองดูเพลินๆ ครับ

หมายเลขบันทึก: 431330เขียนเมื่อ 15 มีนาคม 2011 22:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

The last day of facebook will look like this - first few hours we will get panic and mad, then next few hours, we are sad and getting to term with it. The day after facebook, the whole industrial world will be 2000% more productive as its workforce could focus more. But few days after that, someone will take FB place. My final worry is that would I fall back to Hi5.com at all?

Would you?

I suspect that by noon while waiting for the next best thing, folks would go online to play casual games. Then companies realize interweb was the root of all evil so all computers got disconnected that night. The next day, instead of being productive, folks start to play solitaire or minesweeper.

I am not worrying about crawling back to Hi5, I have twitter and foursquare!

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท