"หรรษา ชื่อของท่าน มาจาก 'ธาตุ' (Root) อะไร"
"มาจาก หส ธาตุ ครับ"
"ถ้าอย่างนั้น ผมขอตั้งฉายา (ชื่อของพระภิกษุ) ของท่านว่า 'ธมฺมหาโส' ซึ่งแปลว่า 'ผู้เพลิดเพลินในธรรม' ก็แล้วกัน"
บทสนทนาข้างต้นนั้น เป็นบทสนทนาระหว่างสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสร มหาเถร ป.ธ.๙) อายุ ๘๘ ปี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง หนึ่งในคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม(http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10703)ในฐานะเป็น "พระอุปัชฌาย์" กับ "ผู้เขียน" ในวันที่ "ผู้เขียนได้เข้าสู่พิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวััดชนะสงครามเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖"
ประโยคข้างต้นจึงเป็นที่มาของชื่อที่ผู้เขียนนำมาตั้งชื่อแฝงใน Blog นี้ว่า "ธรรมหรรษา" และเป็น "นามปากกา" ที่ผู้เขียนใช้เขียนหนังสือ หรือบทความสั้นในโอกาสต่างๆ เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ตัวเองได้รำลึกถึง "คุณูปการของพระอุปัชฌาย์" ของตัวเองในฐานะที่เป็น "สัทธิวิหาริก" (คำนี้แปลว่า "ผู้ที่อยู่ด้วยกัน" โดยใช้เรียกผู้ได้รับอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ คือ ได้รับอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์รูปใดก็เป็นสัทธิวิหาริกของพระอุปัชฌาย์รูปนั้น)
เมื่อประมาณ ๐๑.๓๐ น.ของเมื่อคืนนี้ (๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔) ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากกัลยาณมิตรว่า "พระอุปัชฌาย์มรณภาพ" โดยสงบ ณ วัดชนะสงครามท่ามกลางความ "สังเวชในธรรม" ที่ทุกคนได้ตระหนักรู้ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ตามกฎ "ไตรลักษณ์" ก่อนปรินิพพานว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา"
วันนี้ ผู้เขียนในฐานะเป็น "สัทธิวิหาริก" ของท่าน จึงได้มีโอกาสไปสรงน้ำศพพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ที่เป็น "พระอุปัชฌาย์" ที่เปรียบประดุจ "ผู้ให้เกิดทางโลกวิญญาณ" แก่ผู้เขียน พร้อมกันนี้ ได้มีพระภิกษุจากจตุรทิศ และญาติโยมที่เป็นศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อสมเด็จฯ ได้เดินทางมาร่วมสรงน้ำศพ และแสดงความไว้อาลัยในการจากไปของหลวงพ่อในครั้งนี้
บทเรียนและความทรงจำที่ทรงคุณค่า
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙-๒๕๓๒ นั้นผู้เขียนเป็น "เณรบ้านนอก" หรือ "เณรภูธร" และเรียน "บาลี" อยู่ ณ วัดชากมะกรูด อ.แกลง จ.ระยอง นั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสรับฟังโอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ เมื่อครั้งท่านไปเยี่ยมภาค ๑๓ ซึ่งในขณะนั้น ท่านเป็นเจ้าคณะภาคที่กำกับจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี จังหวัดตราด และผู้เขียนได้มีโอกาสถวายน้ำชาท่านเมื่อท่านเดินทางไปตรวจเยี่ยมวัดชากมะกรุด
ภายหลังที่ได้รับฟังโอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า "การเรียนการศึกษานั้น สามารถหยิบยื่นโอกาสให้แก่ชีวิตของเราได้อย่างไร และการเรียนบาลีนั้น จะก่อให้เกิดคุณูปการต่อการรักษาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเอาไว้ได้อย่างไร" ทำให้ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจ และตัดสินใจว่า "การที่เข้าถึงโอกาส และความฝันดังกล่าวนั้น ไม่มีทางอื่นใด นอกจากการได้ไปอยู่ในปฏิรูปปเทส" ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ "ผู้เขียนตัดสินใจเข้าไปสอบ และเรียนบาลีอยู่ ณ วัดชนะสงครามตามที่ได้ต้งใจเอาไว้"
ในขณะเป็น "สามเณร" นั้น ผู้เขียนและสามเณรในยุคนั้น โชคดีอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ในการให้ศีลทุกวันพระ และอบรมสั่งสอนเกี่ยวศาสนพิธี เสขิยวัตรต่างๆ คือ "หลวงพ่อสมเด็จฯ" ท่านให้ความสำคัญต่อการวางตน การวางย่าม การวางตะละปัตร การวางมือในขณะพูดกับผู้ใหญ่ วิธีการการให้พร และให้ศีล ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้ เป็นหลักการและแนวทางที่ผู้เขียนใช้ประพฤติและปฏิบัติมาจนถึงวินาทีนี้
จงดูเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา อย่าใจดำเหมือนกา
"มรดกธรรม" ชุดนี้ เป็นวลีที่ "หลวงพ่อสมเด็จฯ" สอนและเตื่อนสามเณรในสมัยนั้น ก่อนที่จะท่านจะให้โอวาทหลังจากสวดบท "สามเณรสิกขา" ท่านย้ำเตือนพวกเราเอาไว้อย่างคมคายว่า
"กาเป็นนกชนิดหนึ่งสีดำทั้งตัว มีอยู่ตามหมู่บ้านทั่วไป อาศัยอาหารที่ชาวบ้านเผลอทิ้งไว้ไม่เลือกอาหาร ปัจจุบันมีน้อย เพราะถูกยาเบื่อตายโดยกินหนูกินปูปลาที่ถูกยาเบื่อตาย อีกทั้ง กาเป็นนกขยันหากิน ออกหากินตั้งแต่ยังไม่สว่าง กลับที่อยู่เย็นใกล้ค่ำ บินไปร้องไป เห็นอาหารที่ชาวบ้านตากหรือเก็บไว้ในที่แจ้ง กาจะจับจ้องมองดู ได้โอกาสจะบินโฉบลงมาขโมย แม้ตามครัวที่เปิดทิ้งไว้กาก็จะบินเข้าไปขโมย เมื่อได้อาหารกินอิ่มแล้ว จะหาที่ซ่อนอาหาร เช่น ตามหลังคามุงจากใต้ชายคาบ้าน ตามกองขยะ หรือแม้ตามพื้นดินที่เป็นหลุม"
"จงดูเยี่ยงความขยันของกา รู้จักเก็บรักษาวัสดุของกิน ของใช้ทรัพย์สินเงินทองที่เหลือกินเหลือใช้ไว้บริโภคต่อไป เมื่อถึงคราวขาดแคลนหรือจำเป็น ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้ได้วิชาความรู้ที่ถูกต้อง และให้คำสั่งสอนที่เป็นธรรม เป็นคุณประโยชน์แก่คนอื่นๆ ตลอดไป"
"อย่าเอาอย่างกา ในการที่กากินอาหารไม่เลือกว่าของเน่าเสีย แม้อุจจาระก็กินได้ สัตว์เป็นสัตว์ตายกินได้ทุกอย่าง การชอบลักขโมยอาหารของชาวบ้าน ลักขโมยลูกของนกและสัตว์อื่นมาเลี้ยงลูกของตนโดยไม่คำนึงว่าใครจะทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างไร กาไม่รักลูกของสัตว์อื่น รักแต่ลูกของตัวรักแต่พวกของตัว ไม่รักพวกอื่น ชาวบ้านจึงขนานนามว่า กาใจดำ จึงไม่ควรเอาอย่างกา
สืบสานต่อปณิธานของหลวงพ่ออุปัชฌาย์
"ธมฺมหาโส" คือ "ฉายา (ชื่อของพระ)" ที่หลวงพ่อสมเด็จตั้งให้ จนนำสู่ "ธรรมหรรษา" เป็นการสืบสาน "ปณิธาน" ที่ผู้เขียนเคยเป็นลูกศิษย์ และอยู่กับท่านเกือบ ๖ ปีที่วัดชนะสงคราม สิ่งที่หลวงพ่อสมเด็จฯ มุ่งเน้นมาตลอดชีวิตของท่านคือ "การศึกษา" จะเห็นว่า "สมัยก่อนนั้นวัดชนะสงครามเป็นวัดที่มีพระภิกษุสามเณรสอบบาลีได้มากที่สุดในประเทศไทย"
ท่านเคยสอนพวกเราในขณะเป็นสามเณรว่า "การศึกษาคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาชีวิตของมนุษย์" และ "การศึกษาเท่านั้นจะนำมนุษย์ไปสู่เป้าหมายสูงสุดทั้งในวิถีโลก และวิถีธรรมได้" จากคำสอนเหล่านี้ ผู้เขียนได้เพียรพยายามพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า และประจักษ์แจ้งในตนเองอยู่เสมอมา
นี่คือเหตุว่า "เพราะเหตุใด? ผู้เขียนจึงสนใจ และมุ่งเน้นที่เติบโต และพัฒนาตนเองในสายวิชาการ" เพราะอย่างน้อยที่สุด "เมื่อระลึกถึงอุปัชฌาย์คราวใด เราสามารถตอบตัวเองได้ว่า การที่จะกราบขอบคุณต่อคุณความดีที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ในฐานะพระอุปัชฌาย์ของเรา วิธีการที่ดีที่สุดประการหนึ่งคือ "ปฏิบัติบูชา" โดยการสืบสานปณิธานที่หลวงพ่อสมเด็จเคยย้ำเตือนพวกเราอยู่เสมอ ไม่ว่าวันนี้หรือวันใด แรงบันดาลใจเหล่านี้จะยังคงอยู่กับลมหายใจของเราตลอดไป.
นมัสการค่ะ
ขอแสดงความเสียใจกับท่านด้วยที่สูญเสียพระอุปัชฌาย์ ที่เป็นพระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
เคยได้มีโอกาสสนทนากับท่านเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วที่วัดท่าตอน และอีกครั้งที่วัดชนะสงคราม ท่านมีเมตตาและพูดคุยสบายๆ
เจริญพร โยม mee_pole
หลวงพ่อสมเด็จฯ หากผู้ใดมองท่านแค่เปลือกนอกอาจจะมองว่า "หลวงพ่อดุ" แต่ความจริงแล้ว หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเพียบพร้อมไปด้วย "พรหมวิหารธรรม" โดยท่านได้เคยเทศน์ในโบสถ์ว่า "เกิดเป็นมนุษย์อย่าใช้เพียงแค่หน้าเดียว" เพราะไม่คุ้ม ฉะนั้น ควรใช้ให้ครบทั้ง ๔ หน้า คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ขอบใจโยมที่แวะเวียนมาแสดงความเ้ห็น การได้พบ "สมณะเป็นมงคลที่สูงสุด" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้พบหลวงพ่อสมเด็จฯ นับเป็นมงคลอย่างยิ่งที่โยมได้มีพบและประสบด้วยตัวเอง
ด้วยสาราณียธรรม
นมัสการค่ะ
ขอให้หลวงพ่อไปสู่สุคติค่ะ
โยมดีใจที่ได้อ่านบทความของท่านและดีใจมากยิ่งขึ้นที่ได้ทราบว่าท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ โยมก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อสมเด็จ โยมไปฟังสวดพระอภิธรรมเกือบทุกวัน หลวงพ่อสมเด็จฯท่านให้ความเมตตาโยม ท่านใจดีมากค่ะที่โยมเขียนมานี้เพราะคำว่า"สิ้นแล้วอุปัชณาย์...ที่ข้ารัก"โยมชอบประโยคนี้มากค่ะ เพราะโยมเองก็รักและเคารพหลวงพ่อสมเด็จฯมาก."สิ้นสมเด็จฯวัดชนะสุดอาวรณ์ สิ้นโพธิ์พรร่มปกศิษย์จิตอาัลัย" โยมคงมีโอกาสได้กราบนมัสการท่านในงานสวดพระอภิธรรมหลวงพ่อสมเด้จฯนะคะกราบนมัสการท่านค่ะ