ธรรมหรรษา
รศ.ดร. พระมหา หรรษา นิธิบุณยากร

ศีลธรรมของยุวชน คือ สันติภาพของโลก


     "ศีลธรรมของยุวชน คือ สันติภาพของโลก" เป็นประเด็นที่พุทธทาสภิกขุได้ฝากไว้ให้สังคมได้ตระหนักรู้ว่า "สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากยุวชนมีภูมิคุ้มกันทางศีลธรรมบกพร่อง" ฉะนั้น วัคซีนที่จำเป็นสำหรับ "ยุวชน" ในสังคมปัจจุับัน จึงไม่ได้หมายถึง "วัคซีคเพื่อฉีดกาย" เท่านั้น หากแต่หมายถึง "วัคซีนเพื่อฉีดใจ" ด้วย

     วัคซีนเพื่อฉีดใจ "ยุวชน" จึงหมายถึง "ศีลธรรม" เพราะตราบใด "ยุวชน" ที่ได้ไม่รับวัคซีนดังกล่าวอย่างเพียงพอ  เราจึงเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "ยุวชน" อยู่ทุกวินาที เพราะยุวชน หมายถึง "ผู้ที่ยังอ่อน" อ่อนในความหมายนี้ จึงไม่ได้หมายถึง "ความอ่อนทางด้านร่างกาย" หากแต่ในภาษาธรรม "หมายถึง ความอ่อนด้านจิตใจ"  เพราะจิตใจที่ขาดภูมิคุ้มกันทางศีลธรรม จึงไม่สามารถที่ทนต่อกระแสของเชื้อโรคคือกิเลสที่แทรกซึมจากภายนอกเ้ข้าสู่กระแสใจได้ เนื่องจากไม่สามารถที่รู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบใจของตัวเอง

    ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากจิตใจ "ยังอ่อนแอ" ย่อมหมายถึง "ยุวชนทั้งสิ้น และเมื่อใดก็ตามที่จิตใจของคนเหล่านี้ "อ่อนแอ" ย่อมเป็นเหตุให้ "โลกไร้สันติภาพ" เพราะสภาพจิตที่อ่อนแอ ย่อมชักนำและชักพาให้ยุวชนสร้างความขัดแย้งในเชิงลบ และนำไปสู่ความรุนแรงทั้งโลกภายใน และโลกภายนอก

    ผู้เขียนขออนุโมทนาผู้บริหารโรงเรียนศึกษานารีวิทยาที่ได้เชิญผู้เขียนไปร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต และความรู้กับคณาจารย์และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จำนวนประมาณ ๔๐๐ ท่าน  ซึ่งประเด็นสำคัญคือ "เราจะสร้างภูมิคุ้มกันทางจิต และนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชีวิตของตัวเองได้อย่างไร" จึงจะทำให้ยุวชนเหล่านี้สามารถดรงชีวิตอย่างรู้เท่าทันกระแสโลก โดยนำกระแสธรรมมาเป็นเครื่องมือประยุกต์ใช้ โดยไม่ตกเป็นทางของวัตถุนิยม และบริโภคนิยม อีกทั้งพัฒนาตนและดำรงตนอย่างมีความสุขในสถานการณ์ปัจจุบัน

     ในขณะเดียวกัน  ขออนุโมทนาต่อ "นิสิตปริญญาโท ภาคปกติของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" ที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นที่ว่า "โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย" ในวิชาพระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่   นิสิตทั้งหมดล้วนทำงาน มีภาระหน้าที่เป็นหลักเป็นฐาน แต่คำถามคือ "เพราะเหตุใด จึงเลือกตัดสินใจมาเรียนวิชาพระพุทธศาสนา"  วิชาต่างๆ ในโลกนี้นั้น เป็นวิชาสำหรับทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเอง แต่พระพุทธศาสนาคือวิชาเลี้ยงใจของตนเอง

     วิชาต่างๆ ที่เราเลือกเรียน เปรียบประดุจ "การได้ดื่มน้ำโค้ก หรือน้ำเป๊บซี่"  น้ำเหล่านี้อาจจะดับกระหายได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในบางเวลา แม้เราจะดื่มเพื่อดับกระหาย แต่อาจจะแสบ และระคายลำคอ  แต่สุดท้าย ก็มิวายที่เราจะต้องดื่ม "น้ำเปล่า" เพื่อดับกระหายอีกครั้ง  การดื่มน้ำอัดลมอาจจะทำใ้ห้รู้สึกดีต่อรสชาติ แต่นั้นมิได้หมายความจะดี "แบบยั้งยืน" เพราะผลตามมาคือ "โรคต่างๆ" ที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะภูมิต้านทานบกพร่อง

     การกลับมา "ดื่มน้ำเปล่า" คือ การหันหลังกลับมาได้เรียนรู้และสัมผัสกับ "รสแห่งธรรม"  ซึ่งเป็นรสแห่งความว่าง ความเบา การไร้ซึ่งภาวะปรุงแต่ง แ่ต่เต็มไปด้วยความอิ่ม ความสดชื่น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายมนุษย์  จะเห็นว่า มนุษย์มักไขว่คว้าสิ่งต่างๆ มากมายมาเติมเต็มให้แก่จิตใจ สุดท้ายเราจะพบว่า "ความสุขในโลกีย์มีได้เพียงชั่วคราว แต่ความสุขที่ยืนยาวคือการเข้าหาธรรม"  รสแ่ห่งธรรมคือรสแห่งความสุขที่ยั้งยืน  และที่สำคัญก็คือ "การแสวงหารสแ่ห่งธรรมนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็น และแสวงหาไกลแสนไกล หรือนานแสนนาน  หากแต่แสวงหาได้จากกายกว้างศอก ยาววา หนาคืบ" สรุป "สันติสุขนั้นไซร้อยู่ใกล้แค่ใจเรา"

     การค้นพบสันติสุขภายในของแต่ละคน  ย่อมจะเป็นการง่ายอย่างยิ่งต่อการสร้างโลกภายนอกให้เกิดสันติสุขตามมา และเครื่องมือสำคัญที่ยุวชนจำเป็นต้องใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสันติสุขทั้งภายนอกและภายในนั้น ย่อมเป็นสิ่งใดมิได้ หากมิใช่ "ศีลธรรม" เพราะ "ศีลธรรมของยุวชน คือ สันติภาพของโลก"

หมายเลขบันทึก: 430138เขียนเมื่อ 8 มีนาคม 2011 11:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

นมัสการพระคุณเจ้า

ชอบครับท่านที่บอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากจิตใจยังอ่อนแอ ย่อมหมายถึง ยุวชนทั้งสิ้น

ฤา ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มียุวชนมากนะครับ :)

อนาคตของประเทศอยู่ที่การสร้างคนรุ่นใหม่จริงๆ ครับ

นมัสการครับ

ท่านทูต

"ฤา ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มียุวชนมากนะครับ"   ประโยคนี้เป็นภาษา "ทูต" ที่คมคายยิ่ง  อาจจะเป็นไปได้ว่า "เป็นประเทศที่มียุวชนมากที่สุดในโลกก็ว่าได้"  ก็เพราะเหตุนี้ เราจึงเห็นยุวชนของเราเล่นกีฬาสีกันตลอดปี และตลอดไป 

จะให้ทีมงานเชิญท่านทูตมาร่วมงานวิสาขบูชาโลกปีนี้ ในฐานะ Special Quest หวังว่าท่านทูตจะกรุณามาร่วมงานเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาโลกกับพวกเราชาวพุทธที่เดินทางมาจากทั่วโลกได้ 

งานวิสาขบูชาโลกปีนี้จะเริ่มวันที่ ๑๒-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔  จำนวนชาวพุทธปีนี้ ประมาณ ๕๕๐๐ รูป/คน ที่จะมาร่วมงาน และเป็นปีที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นปีมหามงคลของเราชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุครบ ๘๔ พระชันษา

หวังว่าจะได้รับเกียรติจากท่านทูต

ด้วยสาราณียธรรม

กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ

อาจจะเป็นไปได้ว่า "เป็นประเทศที่มียุวชนมากที่สุดในโลกก็ว่าได้"  ก็เพราะเหตุนี้ เราจึงเห็นยุวชนของเราเล่นกีฬาสีกันตลอดปี และตลอดไป 

"คงต้องหาวิธีการลด จำนวน ยุวชน ของเราให้เหลือปริมาณน้อยลง  แต่จะทำประการใดถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด"

"การปฏิบัติตามศีลธรรมน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็น่าจะยากที่สุดเช่นกัน หากยุวชนหันมาปฏิบัติศีลธรรมมากขึ้น  เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะเชื่อเสมอมาว่า  "ศีลธรรมค้ำจุนโลก" จริง ๆ

"ชอบอ่านบันทึกของพระคุณเจ้านะคะ อ่านแล้วได้อะไรมากมาย แต่ไม่ค่อยได้คอมเม้นท์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีต้นทุนทางความรู้ไม่มากพอ เกรงว่าแสดงความคิดเห็นไปแล้ว จะไม่ถูกไม่ควรค่ะ"

นมัสการพระคุณเจ้า

กราบขอบพระคุณท่านครับเรื่องเชิญไปร่วมงาน ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ

อย่างไรก็ดี ขออนุญาตติดต่อกับท่านในโอกาสต่อไปครับ

เพราะช่วงนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกำลังเสด็จฯ เยือนอินเดีย ระหว่าง 7-11 มีนาคม ครับ

นมัสการครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท