ความเป็นมาของระบบการบริหารคุณภาพ TQM
Dr.Deming และ Dr.Juran ได้เข้ามาสอนถึงหลักการพัฒนาคุณภาพให้ญี่ปุ่นในช่วง ค.ศ.1950 - 1955
ญี่ปุ่นได้พัฒนาแนวคิดและหลักการของ Dr.Deming และ Dr.Juran ขึ้นมาเป็นกลุ่มกิจกรรมคุณภาพ (QCC) และใช้อย่างแพร่หลายในปี 1960 เป็นต้นมา
ต่อมาในปี ค.ศ.1965 ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพทั่วทั้งองค์การที่เรียกว่า Company Wide Quality Control - CWQC ขึ้นมาใช้
10 ปีต่อมา ญี่ปุ่นมีความสามารถในการเพิ่มผลผลิตเหนือกว่าสหรัฐ ฯ เป็นเวลา 20 ปี (ค.ศ.1970-1990) และเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นอันดับ 1 ของโลกในช่วงทศวรรษ 1980 -1990
นอกจากกลุ่มกิจกรรมคิว ซี แล้ว ลัทธิไคเซ็นที่พัฒนาขึ้นมา จากคำสอนของ Dr.Deming ที่ว่าให้มีการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องเป็นวงจรไม่มีการหยุดนิ่งยังถูกปลูกฝังให้คนญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นได้นำแนวคิดของ Dr. Deming& Dr.Juran มาพัฒนาปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำงานของตนจนทำให้สามารถพัฒนาประเทศให้มีขีดความสามารถสูงสุดของโลก
ชาวอเมริกันสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้ญี่ปุ่นสามารถบริหารงานและพัฒนาอุตสาหกรรมจนก้าวล้ำหน้าสหรัฐได้ ทั้ง ๆ ที่
- คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้ทำงานหนักกว่าคนอเมริกัน
- เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีของญี่ปุ่นก็ไม่ได้เหนือกว่าสหรัฐฯ เลย
ในปี 1980 Dr.Deming ได้รับเชิญให้มาพูดในรายการทีวีที่ชื่อว่า “If Japan Can, Why Can’t We” Dr.Deming มีความเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐฯ แพ้ญี่ปุ่น เพราะความบกพร่องของระบบบริหารของสหรัฐฯ ที่ยังเป็นการบริหารแบบตะวันตก และเน้นหลักลำดับขั้น การออกคำสั่งและครอบงำความคิดของลูกน้อง
ในขณะที่ญี่ปุ่นใช้วิธีการระดมสมองจากพนักงานทุกคน เน้นการทำงานเป็นทีม (Team Work) โดยยึดความพึงพอใจของลูกค้าเป็นเป้าหมาย
หลังจากนั้นการบริหารคุณภาพจึงถูกจุดประกายขึ้นมาทั้งในองค์การภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน
ในปี 1981 ประธานาธิบดีโรนัล รีแกน ได้กล่าวไว้ในส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ในวันสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งว่า “รัฐบาลเองคือปัญหา” (Government is the problem) เป็นการเตือนให้ภาครัฐต้องปฏิรูป
ในปี 1983 ประธานาธิบดีรีแกนได้กล่าวในที่ประชุมที่ทำเนียบขาวว่า “ความสามารถในการเพิ่มผลผลิต (Productivity) คือความท้าทายความเจริญก้าวหน้า และขีดความสามารถในการแข่งขัน ของสหรัฐอเมริกาในอนาคต”
สาเหตุที่สหรัฐสู้ญี่ปุ่นไม่ได้เพราะความถดถอยของการเพิ่มผลผลิต ที่เกิดจากระบบการบริหารที่ล้าสมัย วิสัยทัศน์สั้น เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ดงนั้นการเพิ่มผลผลิตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ
Productivity หรือ ผลิตภาพการผลิต คืออะไร ?
ผลิตภาพการผลิตหมายถึง อัตราส่วนระหว่างผลผลิตที่ได้รับกับปริมาณทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการทำงานนั้น
ผลิตภาพการผลิต ผลผลิต(ผลงาน)ที่ได้รับ
(Productivity) = ปัจจัยการผลิตที่ใช้ไป
( แรงงาน เวลา วัตถุดิบ เงิน )
การวัดผลิตภาพการผลิตเป็นประจำอย่างเหมาะสมจะทำให้มองเห็นจุดบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขได้อย่างดี
การเพิ่มผลิตภาพการผลิต หมายถึง จำนวนผลผลิตหรือผลงานที่เพิ่มขึ้น ภายใต้การใช้แรงงาน และทรัพยากรบริหารอื่น ๆ เท่าเดิม
การเพิ่มผลิต ภาพการทำงานจึงเป็นเรื่องของการหาวิธีการปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นโดย
1. แสวงหาวิธีการทำงานให้ได้มากขึ้นภายใต้การใช้ทรัพยากรเท่าเดิม หรือ
2. ทำอย่างไรจึงทำให้ได้งานเท่าเดิม แต่ใช้ทรัพยากรน้อยลง
การเพิ่มผลิตภาพการผลิต จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์การและขึ้นอยู่กับคุณภาพของแรงงานเป็นสำคัญ การเพิ่มผลิตภาพการผลิต เป็นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานอย่างฉลาดมากขึ้น ไม่ใช่ทำงานหนักขึ้น