บางวันภาระงานช่างแสนหนักอึ้ง ( มีผู้ป่วยอาการหนักมาพร้อมกันทีละหลายราย ) ก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่านี่เป็นบทพิสูจน์ในการเรียนรู้ที่จะคิดบวกอีกครั้งแล้วกระมังว่า ตอนนี้เราจะมองมันในแง่ไหน และเราจะ เผชิญหน้ากับมันอย่างไรให้ผ่านไปด้วยดี คิดทีละเรื่องแก้ปัญหาทีละเรื่อง ลองคิดให้ช้าลงลองทำให้ช้าลงตามที่อาจารย์พัฒนาบอกแล้วบางทีมันก็มีอะไรแทรกเข้ามาอีกหลายๆเรื่อง เราก็ถามน้องที่ได้ไปอบรม SHA มาด้วยกันว่า เราจะเอาเรื่องไหนก่อนดีนะ
บางครั้งในภาวะวิกฤติที่ทุกคนต่างวุ่นวายกับการช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยทางกาย แล้วจิตใจนั้นเล่า
ใครจะช่วยเยียวยาพวกเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้านึกถึงคำที่อาจารย์สกล สิงหะ เคยบอกไว้ว่า
“ ตัวเราเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าเราได้ทำอะไรหรือไม่ได้ทำอะไร เราทำอะไรได้และเราทำอะไรไม่ได้ งานเราอาจจะ ยุ่งหรือวุ่นวายเสียจนเราคิดว่ามันแทบไม่มีโอกาสหรือเวลาที่จะได้เยียวยาใคร หากเพียงเราคิดและตั้งใจว่าจะทำ
งานเยียวยาและการดูแลด้านมิติแห่งจิตใจ ในผู้ป่วยเหล่านั้นอาจมีเพียงสักคนที่เรามองเห็นเขาแล้วเรารับรู้ หรือสัมผัสได้ว่าเขาต้องการการเยียวยาจากเราอย่างแท้จริง ก็ขอให้เราได้ทำอย่างน้อยเพียง 1 รายในวันนั้นก็นับว่าเพียงพอและคุ้มค่าแล้ว ”
ใจ สัมผัสได้ ด้วยใจ สวดมนต์แผ่เมตตาให้เขาไปด้วย ช่วยเขาไปเต็มที่ แค่นี้ก็ดีสุดๆแล้วนะ