สปสช.เห็นความสำคัญของการเพิ่มสมรรถนะบุคลากรใน รพ.สต.และเห็นว่าสถาบันการศึกษาน่าจะมีบทบาทจึงได้จัดการประชุมหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาข้อเสนอโครงการพัฒนาเครือข่ายสถาบันเพื่อพัฒนาบุคลากรในหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยมีสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน เป็นผู้ประสานงานหลัก เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๓๐-๑๖.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๔๐๑ สปสช.
การประชุมในวันนี้เชิญผู้เกี่ยวข้องเพียงกลุ่มเล็กๆ ประมาณ ๑๐ กว่าคน พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ได้ร่างแนวคิดและนำเสนอต่อที่ประชุมเกี่ยวกับกลุ่มบุคลากรที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนา กลุ่มสถาบันที่จะเข้ามาร่วมพัฒนา (ได้แก่ วิทยาลัยการสาธารณสุข วิทยาลัยพยาบาล คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ) ขั้นตอนการดำเนินงาน และรูปแบบการทำงาน
กลุ่มบุคลากรที่เป็นเป้าหมายในการพัฒนานั้นจะเน้นที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมามีการพัฒนาแบบกระปริดกระปรอย ไม่ชัดเจน และไม่เป็นระบบ
เราอภิปรายกันเรื่องหลักสูตรและเนื้อหาค่อนข้างมาก พิจารณากันว่าเนื้อหาอะไรที่สำคัญและยังขาดอยู่ เช่น การ mobilize ชุมชน ท้องถิ่น รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ ที่ปรึกษาอาวุโส สปสช. ให้ความเห็นไว้หลายเรื่อง เช่น
คุณหมอสุพัตรามีความเห็นว่าในเรื่องความรู้ ต้องให้หลักการ...เติมเต็มความรู้เชิงกระบวนการ การจัดการ การเชื่อมโยงกับชุมชน...บางเรื่องจำเป็นต้องเรียนที่ center บางเรื่องต่อไปจะต้องอยู่ในหลักสูตร (ที่ผลิตบุคลากร) ปกติ ไม่ต้องมาสอนเติมภายหลัง
เราช่วยกันให้ข้อมูลว่ามีใคร/หน่วยงานใดทำอะไรในเรื่องนี้อยู่แล้วบ้าง ทำให้ได้รู้ว่ามีงบประมาณที่อาจถึงร้อยล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากร รพ.สต ซึ่งบางโครงการในบางปีก็รีบเร่งทำ จึงมีการจัดแบบรีบๆ คู่มือต่างๆ ก็มีเยอะ เราจะเชื่อมต่อกับโครงการ/หลักสูตรต่างๆ ที่ทำกันอยู่อย่างไร และท่ามกลางความเยอะแยะเหล่านี้ เราจะทำให้เกิด systematic มากขึ้นอย่างไร หลักการประเภท train ครู ก ครู ข รวมทั้งให้ สสจ. train เองนั้น คุณหมอสุพัตราบอกว่าอาจไม่ work เราจะเอางานอะไรที่มีอยู่แล้วเป็นฐานบ้าง
หลายคนหลายความเห็น พร้อมมีตัวอย่างการทำงานดีๆ ของ รพ.สต.บางแห่งมาเล่าให้ที่ประชุมฟัง เช่น ที่นาบัวเก่งเรื่องการ mobilize ชุมชน ท้องถิ่น ไปสู่ public policy
ดิฉันได้รู้มากขึ้นว่า รพ.สต. มีปัญหาอะไรกันบ้าง เช่น ความเป็นวิชาชีพ ทำให้ทำงานร่วมกันไม่ได้ ซึ่งคุณหมอสุพัตราบอกว่าเวลาทำงานไม่อยากให้แบ่งวิชาชีพ อยากให้เป็นแบบบูรณาการ แต่มี major ของตนได้ ได้รู้ว่าปัจจุบันมี รร.นวัตกรรมสุขภาพชุมชน ศูนย์การเรียนรู้ก็มีหลายแบบจากการสนับสนุนของหลายหน่วยงาน มีหลักสูตรอบรมถึง ๑๔ หลักสูตร ได้ทราบว่าคุณหมอกฤช ลี่ทองอิน anti KM ท่านบอกว่า “อะไรๆ ก็เอามา ลปรร. กัน แล้วเอาอะไรที่ยังไม่ได้ proof ไปใช้ต่อ”
นพ.ปทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. มาร่วมประชุมเมื่อตอน ๑๕.๓๐ น.ท่านจับประเด็นที่ผู้เข้าประชุมเสนอความคิดเห็นและทวนว่า “ที่สำคัญคือการเคลื่อนพลังประชาชนผ่านบุคลากรสาธารณสุข จึงมาหาทางกันทำให้บุคลากรเก่ง” ...ภารกิจที่ควรจะทำคือ (๑) รวบรวมสถาบันที่พัฒนากำลังคนในพื้นที่ให้มาเจอกัน ลปรร. บางแห่งอาจขายบางเรื่อง (๒) สร้างเครื่องมือการเรียนรู้ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีอยู่มาก จะเอามาใช้ได้หรือไม่ ทำให้ active และมีเนื้อหาที่น่าสนใจ
ผู้เข้าประชุมบางคนเสนอประเด็นเรื่องหมออนามัย การมีสถาบันเพิ่มประสิทธิภาพ รพ.สต. เป็นสถาบันตรงกลาง แต่เป็นเรื่องที่ beyond การพัฒนาวิชาการ เราจึงไม่ได้อภิปรายกันมาก
เมื่อใกล้เวลา ๑๖.๓๐ น.คุณหมอสุพัตราจึงสรุปการประชุมว่าอยากให้เกิดเครือข่ายมาประสานความร่วมมือ เป้าหมายคือพัฒนา primary care งานบางอย่างใช้งบอื่นที่มีอยู่แล้ว งานเบื้องต้นมีดังนี้
ดิฉันคิดว่าแนวคิดและแนวทางการพัฒนาบุคลากร รพ.สต. ที่ผู้เข้าประชุมได้ร่วมกันเสนอความคิดเห็นในวันนี้ เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างหนึ่ง และเป็นที่น่าสังเกตว่าการเกิดขึ้นของ รพ.สต. เชิงโครงสร้าง (เปลี่ยนชื่อเรียก) ง่ายกว่าการพัฒนาคนและงานให้พร้อมเสียอีก
วัลลา ตันตโยทัย
ระวังความรู้จะแตกเป็นเสี่ยงๆนะครับ
ความรู้แตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่แปลก หากดีจริง ใช้ง่ายสะดวก ก็จับมาผสมรวมใหม่ ให้รสชาติ ดียิ่งกว่าเดิม
ผมเชียร์ แก้ปัญหาเบาหวาน ความดันสูง แบบภูมิปัญญาไทย ๆ
ขยายหลอดเลือด ด้วยผักไทย
ลดน้ำตาล ด้วยอาหารแบบ ไทยๆ