ความรู้สึกที่ว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด มีเจตนาลึก ๆ คืออย่างหนึ่งคือการเอาตนเองรอด หรืออีกอย่างหนึ่งพูดมากจะทำให้เกิดความรำคาญ นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ที่มีความเห็นแก่ตัวนั้นจะมีความอดทนอดกลั้นน้อย แล้วหากจะต้องอธิบายอะไรยาว ๆ นาน ๆ ในลักษณะของการถกเถียงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหาข้อสรุปอันเป็นข้อยุติ หรืออาจจะยุติไปเองด้วยเหตุแห่งความเสียเวลาแล้วไม่มีประโยชน์อย่างแน่ชัด ซึ่งผู้ที่เอาตัวรอดจะไม่มีความอดทนพอที่จะทำให้ได้ข้อสรุปออกมาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น แล้วมักจะจบลงด้วยความรู้สึกที่รำคาญโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ความเห็นแก่ตัวในลักษณะนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเอง เพราะเมื่อตนเองไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะรับฟังในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเกี่ยวข้องกับตนทั้งทางตรงและทางอ้อม จะทำให้เองไม่มีการพัฒนาทางด้านสติปัญญาให้เกิดขึ้นได้เลย ลักษณะเช่นนี้อาจเกิดขึ้นระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ได้ด้วย โดยจะสังเกตว่าผู้ใหญ่เวลาที่ดุเด็กแล้วไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงเหตุผลออกมา นั่นเป็นเหตุสำคัญประการหนึ่งซึ่งทำให้เด็กไม่เคารพศรัทธาผู้ใหญ่ เพราะความรู้สึกที่ว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดคืออยากให้เรื่องที่คุยนั้นจบลงโดยเร็วโดยไม่สนใจถึงคุณภาพของเรื่องที่คุยกันอยู่
การถกเถียงที่ว่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรม ทั้งนี้มิใช่เป็นการถกเถียงเพื่อต้องการเอาชนะซึ่งกันและกันในลักษณะมานะทิฐิ แต่เป็นการถกเถียงเพื่อเป็นการพัฒฯศักยภาพในการวิเคราะห์หาเหตุผล เพื่อเป็นการพัฒนาตนเองและผู้เกี่ยวข้องให้สามารถพัฒนาในเรื่องของปฏิจจสมุปบาทให้ได้ดีขึ้นนั่นก็ประการหนึ่ง แต่ประการที่สำคัญคือการแลกเปลี่ยนปผระสบการณ์เพื่อนำสิ่งที่ดีจากการปฏิบัติในลักษณะของการระดมสมอง เพื่อนำสิ่งที่ดีและมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดนำไปปฏิบัติให้เกิดผล แล้ววิธีที่ได้จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดำเนินงานที่ดีที่สุดนั่นเอง
หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง ความเห็นแก่ตัวนี้เป็นอุปสรรคในการพัฒนามากกว่าความถือตัวเสียอีก โดยเฉพาะสิ่งที่มาพร้อมความเห็นแก่ตัวคือความริษยานั้นเป็นตัวถ่วงความเจริญ แล้วความเห็นแก่ตัวจึงเป็นธรรมชาติของการเอาตัวรอด แล้วสิ่งที่ต้องการคือไม่เผชิญความจริง นั่นอาจเป็นไปได้ที่ทำให้ผู้ใหญ่วุฒิภาวะน้อยกว่าเด็ก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตนเองกล้าตำหนิเด็กได้ แต่ไม่มีความอดทนและกล้าหาญพอที่จะรับฟังสิ่งที่เด็กได้พูด จึงมีลักษณะการเอาตัวรอดตามลักษณะ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดขึ้นได้
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาต่อต้านวัฒนะธรรมที่ดีงามของสังคมไทย แต่ผู้เขียนกำลังตั้งข้อสังเกตว่า เราทั้งหลายกำลังให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าผิดวิธีหรือไม่ เช่นผู้ใหญ่ดุเด็กไม่ผิด แต่เด็กหวังดีแล้วชี้ข้อบกพร่องให้ผู้ใหญ่เห็นกลายเป็นผิด แล้วผู้ใหญ่มักมีคำพูดติดปากเสมอว่า "อาบน้ำร้อนมาก่อน" ลักษณะนี้ทำให้ผู้ใหญ่ไม่เกิดการพัฒนาตนเองให้ยอมรับความจริง หรือรับไม่ได้ในความหวังดีที่ผู้ซึ่งเป็นเด็กกว่าแสดงออกซึ่งความหวังดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ แล้วสิ่งนี้เองน่าจะเป็นปัญหาทำให้คนรุ่นหลังมีคุณธรรมศีลธรรมและจริยะธรรมลดน้อยถอยลง เพราะเด็กจะเลียนแบบผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ทำสิ่งผิดได้แล้วถือว่าไม่ผิดได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นความผิดอย่างชัดเจน เด็กก็ทำสิ่งนั้นด้วยความเห็นว่าไม่ผิดด้วยเช่นกัน
การที่เด็กจะให้ความเคาพผู้ใหญ่จึงอยู่ที่เจตนา ว่าเด็กมีความรู้สึกนึกคิดกับผู้ใหญ่กว่าอย่างไร แล้วโดยส่วนตัวผู้เขียนก็ได้รับคำตำหนิจากสหายธรรมเป็นเรื่องปกติ มีทั้งที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นกับผู้เขียนเอง แล้วมีทั้งที่สหายธรรมยังมีอนุสัยที่ไม่ดีบางแง่บางมุมอยู่ หากความผิดพลาดมาจากส่วนใดส่วนนั้นก็ต้องยอมรับความผิดกับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นธรรมดา การกระทำผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ เช่นผู้เขียนทำงานหนักมาก ความเหนื่อยทั้งกายและใจซึ่งได้รับจากการทำงาน อาจกระตุ้นให้ผู้เขียนผลิตอนุสัยในจิตและสันดานในสมองซึ่งไม่ดีขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้เขียนหรือสหายธรรมก็ต้องรับความผิดนั้นแล้วไปทำความแก้ไข โดยผู้เขียนจะไม่ใช้ความเป็นอาจารย์กับศิษย์มาใช้เพื่อข่มขู่ให้สหาบธรรมยอมรับในความผิดของผู้เขียนหากมีขึ้นให้กลายเป็นความถูกต้องโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นผู้เขียนก็จะไม่ต่างจากคนทั่วไป
ไม่มีความเห็น