ปรัชญาชีวิต"คาลิล ยิบราน"ตอนที่28



บทอำลา



              และ ณ บัดนี้ก็ถึงสนธยากาล
และอัลมิตราผู้เห็นธรรมพูดว่า
ขอสวัสดิภาพจงมีแด่วันนี้ สถานที่นี้
และวิญญาณของพระคุณท่านอันได้พูด

และท่านตอบว่า
เราหรือเป็นผู้พูด
เรามิได้เป็นผู้ฟังด้วยหรอกหรือ

แล้วท่านก้าวลงบันไดโบสถ์
และประชาชนชาวออร์ฟาลีสก็ตามท่านไป
ท่านขึ้นไปถึงเรือและยืนบนกราบและหันมาทางฝูงชนอีก

ท่านเอ่ยปากกล่าวว่า
ประชาชนชาวออร์ฟาลีส กระแสลมได้เตือนเราแล้ว
เรามิได้เร่งร้อนดังเช่นสายลม แต่เราก็ต้องไป
พวกเราเป็นผู้เที่ยวไป
ค้นหาทางจรอันเปลี่ยวกว่าเดิมเสมอ
เมื่อวันหนึ่งสิ้นสุดลงแล้ว ก็มิได้เริ่มต้นวันใหม่ ณ ที่ใด
สนธยากาลจากเราไปแล้ว รุ่งอรุณก็มิได้พบเราอีก
เราเดินทางไปแม้ขณะพื้นพิภพหลับสนิท
พวกเราเป็นเมล็ดพันธุ์ของพฤกษาที่มิรู้สูญ
ในความสุกสะพรั่งและเติบโตเต็มเปี่ยมนั้น
เราถูกส่งให้กระแสลม เพื่อว่าจะได้แผ่กระจายไป

วันเวลาที่เราได้อยู่ท่ามกลางพวกเธอนั้นน้อย
แต่คำกล่าวที่เราได้พูดต่อเธอยังน้อยกว่านั้น
แต่ถ้าหากคำกล่าวของเราจางไปจากหูของเธอ
และความรักของเราสูญไปในความทรงจำของเธอ
เราจะกลับมาอีก
และเราจะพูดกับเธอด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมกว่านี้
และด้วยริมฝีปากที่ยอมตามวิญญาณมากกว่านี้

ถูกแล้ว เราจะกลับมาพร้อมกับกระแสน้ำ
และถึงแม้ความตายจะซ่อนบังเราไว้
แม้ความอันสงัดยิ่งกว่าจะห่อหุ้มเราไว้
เราก็จะยังแสวงหาความเข้าใจของเธออีก
และเราจะไม่แสวงหาโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าสิ่งใดที่เรากล่าวแล้วเป็นสัจธรรม
สัจธรรมนั้นๆ ก็จะเผยตนเองออก
ในสำเนียงอันกระจ่างแจ้งกว่า
และในถ้อยคำอันใกล้ชิดความคำนึงของเธอยิ่งกว่าเดิม

ประชาชนชาวฟาออร์ลีสทั้งหลาย
เราไปกับสายลม แต่มิใช่สู่ความสูญเปล่า
และถ้าหากวันนี้มิได้เป็นการบรรลุความต้องการของเธอ
และความรักของเรา
ก็ขอให้มันเป็นคำสัญญาจนกว่าจะถึงวันหน้า
ความปรารถนาของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้
แต่ความรักของเขาไม่เปลี่ยน
และความต้องการที่จะให้ความรักของเขา
สนองความต้องการก็ไม่เปลี่ยน
ดังนั้น จงรู้ไว้เถิดว่า
เราจะกลับมาจากความสงัดอันยิ่งกว่านี้
หมอกซึ่งเลือนหายไป ณ รุ่งอรุณ
ทิ้งไว้แต่หยาดน้ำค้างในท้องทุ่ง
จะลอยขึ้นรวมตัวเป็นเมฆและกลับตกลงมาเป็นฝนอีก
และเราก็ได้เป็นหมอกมาแล้ว
ในความสงัดนิ่งแห่งราตรีกาล
เราได้เดินทางไปตามถนนของเธอ
และวิญญาณของเราได้เข้าเยือนตามบ้านของเธอ
และเสียงเต้นระทึกของดวงใจของเธออยู่ในดวงใจเรา
ลมหายใจของเธอต้องใบหน้าของเรา
และเราก็รู้จักเธอทั้งหมด

ถูกละ เรารู้ความปราโมทย์ และความปวดร้าวของเธอ
และในนิทรากาลนั้น ความฝันของเธอเป็นความฝันของเรา
และบ่อยครั้งที่เราอยู่ในท่ามกลางพวกเธอ
ดังเช่นทะเลสาบอยู่ท่ามกลางขุนเขา
เราสะท้อนยอดสูงของเธอ และลาดผาอันโค้งชัน
เราสะท้อนแม้ฝูงแกะแห่งความคำนึง
และความปรารถนาของเธออันเคลื่อนผ่านไป
และเสียงหัวเราะของลูกหลานของเธอ
กับทั้งความเฝ้าคอยแห่งความหนุ่มสาวของเธอก็ไหลมาในธารน้ำ
สู่ความสงัดนิ่งของเรา
และแม้เมื่อมาถึงความล้ำลึกของเราแล้ว
แม่น้ำและลำธารนั้นก็ยังไม่หยุดร้องเริง
แต่สิ่งที่หวานกว่าเสียงหัวเราะ
และยิ่งใหญ่กว่าการเฝ้าคอยก็มายังเราด้วย
นั่นคือสภาวะไร้ขอบเขตในเธอ

เขาทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นเพียงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
เมื่อเขาเปล่งเสียงสวดนั้น
เสียงเพลงของเธอทั้งหมด
จะดูประหนึ่งความสั่นสะเทือนที่ไร้สำเนียง
ความไร้ขอบเขตของเขาทำให้เธอไร้ขอบเขต
และในการเห็นประจักษ์เขานั้น
เราก็เห็นประจักษ์เธอ และรักเธอด้วย
เพราะความรักนั้นจะแผ่ไปยังระยะใดเล่า
ถ้ามิใช่สู่เวหาอันไร้ขอบเขต
และความคิดฝัน ความหวัง
และความมุ่งหมายใดเล่าจะเกินเลยการแผ่กระจายนั้นไปได้
สภาพอันยิ่งใหญ่ในเธอนั้นเป็นประดุจพฤกษาใหญ่
มีกิ่งก้านสาขาปกคลุมด้วยไม้ดอกบานสะพรั่ง
อานุภาพของเขาผูกพันเธอไว้กับพื้นพิภพ
ความหอมกรุ่น พยุงเธอขึ้นสู่เวหา
และในความไม่รู้ดับสูญของเขานั่น เธอก็เป็นอมตะ

ได้มีผู้กล่าวว่า เธอนั้นเหมือนสายโซ่
อ่อนแอเหมือนห่วงอ่อนแอที่สุด
นี้เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว
เธอนั้นแข็งแรงดังเช่นห่วงที่แข็งแรงที่สุดเหมือนกัน
การวัดคุณค่าของเธอด้วยการกระทำที่ต่ำต้อยที่สุด
ก็เปรียบเสมือนการคิดพลังของห้วงสมุทร
จากความบอบบางของปุดพรายน้ำ
การวินิจฉัยเธอด้วยข้อผิดพลาดของเธอนั้น
ก็เช่นกับการกล่าวโทษฤดูกาล
เพราะความแปรปรวนของมัน


ถูกละ เธอเป็นดังห้วงสมุทร
และแม้ว่าเรือเกยแห้ง
จะรอกระแสน้ำอยู่บนฝั่งของเธอ
แต่ก็เช่นกับห้วงสมุทร
เธอไม่อาจเร่งกระแสน้ำของเธอได้
และเธอก็เป็นเช่นฤดูกาลด้วย
แม้ในเหมันตกาลนั้น เธอปฏิเสธฤดูใบไม้ผลิ
แต่ฤดูใบไม้ผลิพักสงบอยู่ภายใน
ก็ยิ้มอยู่ในความซบเซา และไม่ขัดเคืองแต่อย่างใด


อย่าคิดว่าเราพูดดังนี้
เพื่อเธอจักได้กล่าวแก่กันว่า
ท่านสรรเสริญเรา ท่านเห็นแต่คุณธรรมในเรา
เราพูดต่อเธอเฉพาะสิ่งที่เธอเองรู้ดีในความคิด
และปัญญาอันกล่าวเป็นถ้อยคำได้นั้น
จะเป็นอะไรอื่นจากเงาของปัญญาที่ไร้คำพูด

ความคำนึงของเธอ และคำกล่าวของเรา
เป็นระลอกคลื่นจากความทรงจำอันผนึกแน่น
ซึ่งบันทึกเมื่อวานนี้ของเราไว้
และบันทึกวันแห่งบุราณกาล
ในสมัยซึ่งพื้นพิภพยังไม่รู้จักเราหรือแม้ตนเอง
และบันทึกราตรีกาล ขณะเมื่อพื้นพิภพก่อตัวขึ้นในความสับสน

ปวงปราชญ์ได้มายังเธอเพื่อให้ปัญญา
แต่เรามาเพื่อเอาปัญญาของเธอไป
และจงรู้เถิดว่า เราได้พบสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่ว่า
ปัญญานั่นคือเปลววิญญาณในเธอ
ซึ่งรวบรวมตัวเองเพิ่มทุกขณะ
ขณะเดียวกันเธอผู้ซึ่งไม่สังเกตการแผ่ขยายของมัน ก็ก่นแต่ร่ำไห้
ชีวิตอันแสวงหาชีวิตในรูปกายนั้น ย่อมหวาดหวั่นต่อสุสาน
ที่นี่ไม่มีสุสาน
ขุนเขาและทุ่งราบเหล่านี้คือ เปลและขั้นบันได
เมื่อใด เธอผ่านท้องทุ่งที่เธอได้ฝังบรรพบุรุษไว้ ขอจงดูให้ดี
และเธอก็จะเห็นตนเองและลูกหลานเริงรำด้วยกัน
แท้จริงนั้น เธอมักจะเริงรำกันบ่อยโดยไม่รู้สึก
ผู้อื่นได้มาสู่เธอ
ซึ่งเธอได้ให้ทรัพย์ศฤงคาร และอำนาจราชศักดิ์แก่เขา
เพราะว่าเขาทำให้เธอเกิดศรัทธาว่าจะได้ผลตอบแทนในเบื้องหน้า
สำหรับเรานั้น เธอได้ให้ความกระหายต่อชีวิตอันล้ำลึกกว่า
เป็นที่แน่แท้ว่าไม่มีของขวัญใดล้ำค่าไปกว่า
สิ่งที่แปรความมุ่งหมายของผู้รับให้เป็นริมฝีปากแห้งผาก
และแปรชีวิตทั้งหลายเป็นธารน้ำพุ
นี่เองเป็นเกียรติ และของตอบแทนที่เธอให้แก่เรา
เมื่อใดเรามายังน้ำพุเพื่อจะดื่ม
เราก็ได้พบน้ำอันมีชีวิตนี้กระหายอยู่ด้วยแล้ว
และมันก็ดื่มเราด้วยขณะที่เราดื่มมัน


เธอบางคนได้คิดเอาว่า เราหยิ่งและอายเกินไปที่จะรับของให้
เรานี้หยิ่งผยองแน่แท้ต่อการรับค่าจ้าง แต่มิใช่ต่อของขวัญ

และถึงแม้เราได้กัดกินผลไม้อยู่ในขุนเขา
ขณะที่เธอก็พึงใจจะให้เรานั่งอยู่ที่โต๊ะของเธอ
และนอนอยู่ตามระเบียงโบสถ์
ขณะที่เธอก็ยินดีให้ที่พักอาศัยแก่เรา
แต่มิใช่ความห่วงใยด้วยความรักอันเธอ
มีต่อทิวาและราตรีของเรานี้หรอกหรือ
ที่ทำให้อาหารทั้งหลายของเรามีรสโอชา
และโอบรัดความหลับของเราไว้ด้วยความฝัน
เราสรรเสริญเธออย่างสูงในข้อนี้
เธอได้ให้มากมาย แต่ก็หาได้รู้แต่น้อยว่าเธอให้


เป็นสิ่งแน่แท้ว่า
ความเมตตากรุณาที่มองดูตนเองในกระจกเงานั้นย่อมแปรเป็นหินผา
และคุณธรรมอันเรียกชื่อตนเองอย่างเลิศลอยนั้น
เป็นต้นตอของความชั่วร้าย

และเธอบางคนได้กล่าวว่า
เราเก็บตัวและมึนเมาในความโดดเดี่ยวของตัวเอง
และเธอได้พูดกันว่า ท่านเป็นมิตรกับต้นไม้ในป่า มิใช่กับมนุษย์
ท่านนั่งอยู่โดดเดี่ยวบนยอดเขา และมองลงมายังบ้านเมืองเรา
เป็นความจริงที่เราได้ปีนขึ้นบนเขา และเที่ยวไปในที่ห่างไกล
เราจะเห็นเธอได้อย่างไร ถ้ามิใช่จากที่สูงหรือระยะไกล
เราจะอยู่ใกล้เธอได้อย่างไร ถ้าไม่ไปอยู่ไกลด้วย


และคนอื่นในหมู่เธอได้เรียกร้องเรา มิใช่เป็นคำพูด
และเขากล่าวว่า ท่านผู้แปลกถิ่น
ท่านผู้รักความสูงอันสุดเอื้อม
เหตุใดท่านจึงเที่ยวอยู่ตามยอดเขาอันเป็นที่ทำรังของนกอินทรี
ทำไมท่านจึงแสวงหาสิ่งอันบรรลุถึงไม่ได้
ท่านคิดดักพายุใดไว้ในตาข่ายของท่าน
ท่านตามล่านกชนิดใดในห้วงเวหา
ลงมาอยู่กับเราเถิด
ลงมาและบรรเทาความหิวของท่านด้วยขนมปังของเรา
และตับความกระหายด้วยน้ำองุ่นของเรา

เขากล่าวคำพูดเหล่านี้ในความเปล่าเปลี่ยวของวิญญาณ
แต่ถ้าหากความเปล่าเปลี่ยวของเขาลึกกว่านี้
เขาก็จะรู้ว่า
เราแสวงหาแต่ความลับของความปราโมทย์
และความปวดร้าวของเธอ
และเราเที่ยวตามล่าแต่อาตมันของเธอ
ซึ่งสัญจรในเวหา

แต่นายพรานนั้นก็ถูกล่าด้วยในขณะเดียวกัน
เพราะลูกธนูของเรามากมายหลุดจากแหล่ง
เพื่อจะย้อนปักทรวงอกของเราเอง
และผู้โผผินไปนั้นก็คือผู้คืบคลานไปด้วย
เพราะเมื่อปีกของเรากางแผ่ออกในแสงอรุณ
เงาของมันบนพื้นพิภพย่อมเคลื่อนไปดังเช่นเต่า
และเราผู้มีศรัทธาก็เป็นผู้สงสัยเองด้วย


เพราะบ่อยครั้งที่เราเอานิ้วจี้ลงบนบาดแผลของตนเอง
เพื่อว่าเราจักได้มีศรัทธายิ่งในเธอ
และมีความรู้ในตัวเธอมากขึ้นด้วย
และด้วยศรัทธาอันนี้
และปัญญาอันนี้ เราขอกล่าวว่า
เธอมิได้ถูกห่อหุ้มอยู่เฉพาะในร่างกายของเธอ
และก็มิได้ถูกจำกัดอยู่แต่ในบ้านหรือทุ่งนา
สิ่งซึ่งเป็นเธอนั้นดำรงอยู่เหนือขุนเขา
และเคลื่อนไปกับสายลม
มันมิใช่สิ่งที่คืบคลานออกมาตากแดดเพื่ออบอุ่น
หรือขุดรูลงในความมืดเพื่อหนีภัย
แต่เป็นสิ่งเสรี เป็นวิญญาณอันแผ่คลุมพื้นพิภพ
และเคลื่อนไปในเวหา

ถ้าหากคำพูดเหล่านี้เลือนราง
ก็อย่าได้พยายามทำมันให้กระจ่าง
ความเลือนรางและหมอกฝ้า
เป็นการเริ่มต้นของสรรพสิ่ง แต่มิใช่ปลายทางของมัน
และเราก็พอใจให้เธอจำเรา เป็นเช่นการเริ่มต้น
ชีวิตและสรรพสิ่งอันดำรงชีวิตอยู่
ย่อมเข้าใจได้ในหมอก และมิใช่อย่างกระจ่างแจ้ง
และใครบ้างจะรู้ว่า แท้จริงเมื่อหมอกฝ้าสลายลงนั้น
มันก็รวมเป็นหยาดผลึกใสชัดเจนนั่นเอง


เมื่อเธอระลึกถึงเรา ขอให้เธอระลึกดังนี้
สิ่งใดในตัวเธอซึ่งดูคล้ายอ่อนแอ และเลือนรางที่สุดนั้น
แท้จริงแข็งแรงและชัดเจนที่สุด
มิใช่ลมหายใจของเธอหรอกหรือ
ที่ได้ทำให้โครงสร้างของกระดูกเธอตั้งตรงและแข็งแรง
และมิใช่ความฝันอันไม่มีเธอคนใดจำได้
ว่าได้เคยฝันไว้หรอกหรือที่ได้ก่อสร้างเมืองของเธอขึ้น
พร้อมทั้งตบแต่งสิ่งทั้งหลายในนั้น


ถ้าเพียงแต่เธอได้เห็น กระแสของลมหายใจนั้น
เธอก็จะเลิกมองดูสิ่งอื่นใด
และถ้าเพียงแต่เธอได้ยินเสียงกระซิบของความฝันนั้น
เธอก็จะไม่ฟังสำเนียงอื่นใดอีก
แต่เธอไม่เห็น และไม่ได้ยิน และก็เป็นการดีแล้ว
ม่านที่ปกคลุมจักษุของเธอจะถูกรูดขึ้นโดยมือซึ่งได้ทอถักมันขึ้น
และก้อนดินที่อุดโสตของเธอก็จะถูกแทงทะลุด้วยนิ้วซึ่งปั้นมันขึ้นเอง
เธอจะได้เห็น เธอจะได้ยิน
แต่เธอก็จะไม่เสียใจที่ได้เคยพบความมืดบอดมาก่อน
หรือที่เคยหูหนวกมาก่อน
เพราะในวันนั้นเอง
เธอจะได้รู้ความหมายอันแฝงอยู่ในสรรพสิ่ง
และเธอก็จักสรรเสริญความมืดบอด
เช่นเดียวกับสรรเสริญความสว่าง


เมื่อได้กล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านก็มองไปรอบๆ
และก็ได้เห็นนายท้ายเรือของท่านยืนอยู่ข้างพวงมาลัย
มองดูที่ใบอันถูกลมตึงและมองไปในทะเลลึกสลับกันอยู่ และกล่าวว่า

อดทน นายเรือของเรานี้อดทนรอยิ่งนัก
ลมพัดแรงและใบเรือรอไม่ไหว
แม้หางเสือก็ถามทิศทาง
แต่นายท้ายเรือก็ยังรอความสงัดของเราอยู่
และคนเรือของเราเหล่านี้
ผู้ได้ยินเสียงเพลงของห้วงสมุทรแล้ว
ก็ได้รอฟังเราอย่างอดทนด้วย
บัดนี้เขาจะไม่รออีกต่อไป
เราพร้อมแล้ว
ธารน้ำได้บรรลุถึงห้วงสมุทร
และมารดาผู้ยิ่งใหญ่ก็จะโอบรัดบุตรของนางไว้กับอกอีกครั้งหนึ่ง

ลาก่อน ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
วันนี้สิ้นสุดลงแล้ว มันหุบปิดลงบนเรา
ดังเช่นดอกบัวหุบลงบนพรุ่งนี้ของมันเอง
สิ่งใดที่เราได้รับที่นี่ เราจะรักษาไว้
และถ้าหากมันไม่เพียงพอ เราก็จะเข้ามารวมกันอีก
และก็จะร่วมกันชูมือขอยังพระผู้ประทาน
อย่าลืมว่าเราจะกลับมาสู่พวกเธออีก
เพียงชั่วขณะ
และความเฝ้ารอของเราก็จะรวบรวมฝุ่นผงสำหรับร่างใหม่
เพียงชั่วขณะ
เพียงพักชั่วขณะในสายลม
แล้วหญิงหนึ่งก็จะโอบอุ้มเราไว้
ลาก่อนสำหรับเธอ
และความหนุ่มอันเราได้อยู่ในหมู่เธอ
เราเพิ่งได้พบกันในความฝันแต่วันวานนี้
เธอได้ร้องเพลงให้เราฟังในความเปล่าเปลี่ยว
และเราได้สร้างปราสาทขึ้นในเวหาจากการเฝ้ารอของเธอ
แต่บัดนี้ ความหลับของเราสูญไป และความฝันสิ้นสุดลงแล้ว
และบัดนี้ก็มิใช่ยังรุ่งอรุณอยู่อีก
ขณะนี้เป็นยามเที่ยงเต็มที่
และความครึ่งหลับของเราก็แปรเป็นวันเต็มเปี่ยมแล้ว
และเราก็ต้องจากกัน

ถ้าในสนธยากาลแห่งความทรงจำ เราได้มาพบกันอีก
เธอก็จะร้องเพลงอันลึกซึ้งกว่าให้เราฟัง
และถ้ามือของเราได้สัมผัสกันอีกในความฝันอื่นต่อไป
เราก็จะสร้างปราสาทขึ้นบนเวหาใหม่อีก

ท่านกล่าวแล้วก็ให้สัญญาณแก่ชาวเรือ
เขาเหล่านั้นถอนสมอขึ้น ปลดเรือจากเครื่องผูกพัน
และเรือพร้อมด้วยเขาเหล่านั้นก็เคลื่อนไปทางตะวันออก
เสียงร่ำไห้ก็เปล่งออกจากประชาชน
ประหนึ่งออกจากดวงใจเดียว
มันแผ่สูงขึ้นในความสลัว
และลอยลมออกไปเหนือท้องทะเลประดุจเสียงจากแตรใหญ่

แต่อัลมิตรานิ่งเงียบ
เธอมองตามเรือจนจากหายไปในหมอก
และแม้เมื่อฝูงชนแยกย้ายไปหมดแล้ว
เธอก็ยังยืนโดดเดี่ยวบนฝั่งทะเล
ในดวงใจของเธอรำลึกถึงคำกล่าวของท่าน
.................. ชั่วขณะหนึ่ง เพียงพักชั่วขณะในสายลม
................... แล้วหญิงหนึ่งก็จะโอบอุ้มเราไว้


หมายเลขบันทึก: 419843เขียนเมื่อ 12 มกราคม 2011 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 18:01 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท