มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน
มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน

จะได้พบกันอีกไหม


"ไปรับลูกชายฉันมาเร็ว ๆ เขาอยู่ในกระท่อมคนเดียว... คืนนี้จะนอนยังไง... ไป...ไป... ไปรับลูกชายของฉันมา" เธอพูดพร่ำซ้ำ ๆ สลับกับร้องไห้แล้วซบหน้าลงกับอกชายผู้เป็นสามีที่อยู่ข้างกาย

จะได้พบกันอีกไหม


 

ซอ โพ ควา 

 

ในวันที่ร้อนอบอ้าว กลิ่นสาปจากเครื่องนอนเขลอะดำผสมกับกลิ่นเหงื่อไคลของผู้คนคลุ้งอยู่ในอากาศ หลายคนในห้องขังแห่งนี้จึงอดไม่ได้ที่จะครวญครางอย่างทรมาน ซอ โพ ควา ซอ โพ ควา” ผมรีบลุกขึ้นตามเสียงของเจ้าหน้าที่จากนอกห้องขัง ด้วยความหวังเปี่ยมหัวใจว่ามีผู้มาประกันตัว แต่แล้ว... เมื่อถึงหน้าประตูห้องขัง ชายคนหนึ่งที่ชื่อเหมือนผมกลับเดินออกไปนอกโดยมีนายจ้างมารอรับ ทิ้งผมยืนมองตามหลังพวกเขา

ผมทรุดตัวลงนั่งบนเสื่อผืนสกปรกอีกครั้งด้วยความทุกข์ใจ เมื่อหันมองไปรอบตัว ผมเพิ่งสังเกตว่า ในห้องขังสกปรกแห่งนี้มีคนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณดูด้วยสายตาสัก 20 กว่าเกือบ 30 คน หลายคนในนี้ถูกจับพร้อมกับผมเมื่อเช้า บางคนแก่มากแล้ว บางคนยังหนุ่มฉกรรจ์ ที่เป็นผู้หญิงก็มี แต่สิ่งที่เราทุกคนเหมือนกันคือเราต่างเป็นคนที่มาจากประเทศพม่า และเพราะเราไม่มี "บัตรไทย" จึงต้องถูกจับมาคุมขังไว้ในห้องขังสกปรกแห่งนี้

ทามกลางเสียงจอแจของผู้คนในห้องขัง เสียงร้องไห้ครำครวญของหญิงคนหนึ่งกระทบโสตประสาทของผม เจ้าของเสียงกำลังพร่ำรำพันอะไรบางอย่างกับชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  "ไปรับลูกชายฉันมาเร็ว ๆ เขาอยู่ในกระท่อมคนเดียว... คืนนี้จะนอนยังไง... ไป...ไป... ไปรับลูกชายของฉันมา" เธอพูดพร่ำซ้ำ ๆ สลับกับร้องไห้แล้วซบหน้าลงกับอกชายผู้เป็นสามีที่อยู่ข้างกาย

ผมขยับตัวเข้าใกล้แล้วถามเขาว่า "ลูกชายของคุณอยู่ที่ไหน... แล้วคุณทั้งสองถูกจับได้อย่างไร"

ชายผู้เป็นสามีหยิบชายเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนเล่าว่า "เราสองคนออกจากกระท่อมในตอนเช้าเพื่อจะไปรับจ้างหักข้าวโพด แต่โชคร้ายที่ถูกทหารไทยจับ เราพยายามร้องขอกับเขาว่าเรามีลูกเล็ก ๆ อยู่ที่กระท่อม ผมขอให้เขาปล่อยเมียผมไปดูลูก จับแต่ผมไว้คนเดียว แต่เขาก็ยังจับเราทั้งสองคนมา ลูกชายของผม... คืนนี้ลูกจะอยู่อย่างไร เทวดาทั้งหลายโปรดช่วยดูแลลูกชายแทนผมด้วย" เมื่อผมละสายตาจากผู้เป็นพ่อก็เห็นหยดน้ำตาของผู้เป็นแม่ ไหลจากแก้มหล่นลงบนผ้าถุงที่เธอนุ่ง ความทุกข์ทั้งหมดที่ผมได้รับในห้องขังนี้คงเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวความทุกข์ใจของผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ตรงนี้

เรื่องราวที่ได้ฟังทำให้ผมคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อยังเด็ก ตอนนั้นผมอายุประมาณ 7 ขวบ วันนั้นพ่อพาผมนั่งเรือเข้าไปในเมือง เมื่อถึงท่าเรือ พ่อสั่งให้ผมนั่งรออยู่บนเรือเพื่อไปซื้อของในตลาด ระหว่างที่กำลังรอพ่ออยู่นั้น มีชายชาวพม่าหนึ่งคนเดินตรงมาหาผม ในมือของเขาถือขวานเล่มใหญ่ เขาพูดภาษาพม่าที่เด็กปกาเกอะญออย่างผมฟังไม่เข้า ด้วยความกลัวว่าเขาจะฆ่าผม ผมจึงตะโกนลั่น "พ่อจ๋า...พ่อจ๋า พม่าจะฆ่าฉันแล้ว" ทันใดนั้นพ่อก็มาถึง แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้ความจริงว่ายคนนั้นเดินเข้ามาบอกให้ผมขยับเรือเข้ามาใกล้ เพื่อที่เขาจะได้เหยียบเรือของผมแล้วข้ามไปยังเรือที่อยู่ด้านหลัง

ความกลัวของผมในวันนั้นคงเทียบไม่ได้กับเด็กที่พ่อแม่ถูกจับตัวไป ค่ำคืนนี้เขาคงต้องถูกทิ้งให้อยู่กับความหวาดกลัวในกระท่อมเพียงลำพัง เขาจะผ่านค่ำคืนที่มืดมิดนี้ไปได้อย่างไร หรือชีวิตของเด็กน้อยคนนี้ไม่มีค่าอะไรเลย 

ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากพบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับครอบครัวนี้ เราทุกคนไม่ต้องการอยู่ท่ามกลางความกลัว ความวิตกกังวล แต่คนที่ข้ามมาจากฝั่งพม่าอย่างพวกเราต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่เรามาอยู่เมืองไทยเพียงเพื่อทำงานเลี้ยงชีพ หลายคนลี้ภัยสงครามเพียงเพื่อรักษาชีวิตรอด แต่พวกเราต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ระหว่างชายแดนไทย-พม่า ชีวิตของพวกเราเหมือนสัตว์ที่เติบโตขึ้นในป่าไม่มีใครปกป้องดูแล

ระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีคนมาเรียกเราให้ออกไปจากห้องขัง มองออกไปผมเห็นรถที่จะไปส่งเรายังฝั่งประเทศพม่าที่ด่านชายแดนเมียวดีจอดรออยู่... ผมได้แต่หวังว่าสองคนผัวเมียจะได้กลับไปเห็นหน้าลูกในเร็ววัน

 

หมายเลขบันทึก: 419422เขียนเมื่อ 10 มกราคม 2011 16:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 17:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท